สม รังสี อดีตผู้นำพรรคฝ่ายค้านกัมพูชาเมื่อวันจันทร์(16 ก.ย.) โพสต์ข้อความสั้นๆแต่อาจสะเทือนถึงรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีฮุน มาเน็ต ยุเป็นนัยๆให้ชาวเขมรลุกฮือกำจัดนักการเมืองฉ้อฉลเหมือนกับในต่างประเทศ
ข้อความสั้นๆที่โพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว นายสม รังสี เขียนว่า "เนปาล อินโดนีเซีย บังกลาเทศ ซีเรียทำได้ เขมรก็ทำได้" สันนิษฐานว่าข้อความกังวลเป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ประชาชนพากันลุกฮือประเทศต่อต้านพวกนักการเมืองฉ้อฉลในประเทศแต่ละประเทศ ขณะที่เขาเคยกล่าวหาตระกูลฮุน ที่ปกครองกัมพูชา ทุจริตคอรัปชันต่างๆนานา
ในเนปาล การประท้วงต่อต้านการระงับโซเชียลมีเดีย ที่ลุกลามกลายเป็นการชุมนุมกลุ่ม Gen Z เรียกร้องยุติการทุจริต ธรรมาภิบาลที่ดี และความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ ได้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 72 ราย ท่ามกลางการฝูงชนที่โกรธกริ้วจุดไฟเผารัฐสภาและอาคารรัฐบาลในกรุงกาฐมาณฑุ รวมถึงบ้านพักของนักการเมืองหลายคน จนประธานาธิบดีต้องสั่งยุบสภาและตั้งนายกรัฐมนตรีรักษาการ
ส่วนในอินโดนีเซีย เกิดการประท้วงเดือดทั่วประเทศนานกว่าสัปดาห์ มีการบุกทำลายสถานที่ราชการ ปล้นบ้านนักการเมือง มีการสลายการชุมนุมอย่างรุนแรง เนื่องจากไม่พอใจที่รัฐบาลจะเพิ่มสวัสดิการเบี้ยเลี้ยงที่พักอาศัยและอื่นๆ ให้กับสมาชิกรัฐสภา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ของประเทศยังต้องอยู่อย่างลำบาก บวกกับความไม่พอใจของประชาชนที่สะสมก่อนหน้านี้ ทั้งจากปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นแต่ค่าจ้างกลับไม่เติบโตตาม
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ผู้ประท้วงชาวบังกลาเทศหลายหมื่นคนที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีเชค ฮาซีนา ลาออกจากตำแหน่ง ได้ปะทะกับผู้สนับสนุนพรรครัฐบาล ขณะที่ตำรวจพยายามสลายการชุมนุมด้วยการยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยาง ได้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 91 รายและบาดเจ็บอีกหลายร้อยราย ถือเป็นการประท้วงที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดใน 1 วันในประวัติศาสตร์การประท้วงของบังกลาเทศ
นางชีค ฮาสินา นายกรัฐมนตรีหญิงผู้ดำรงตำแหน่งมายาวนานกว่า 15 ปี ต้องลาออกจากตำแหน่งและเดินทางออกนอกบังกลาเทศ หลังเกิดการประท้วงของนักศึกษา ซึ่งนำมาสู่เหตุนองเลือดที่เลวร้ายที่สุดของบังกลาเทศนับตั้งแต่การก่อตั้งประเทศเมื่อปี 1971
ความเคลื่อนไหวของสม รังสี มีขึ้นในขณะที่แรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับจากไทย ตามเสียงเรียกร้องของนายฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางข้อพิพาทด้านชายแดนระหว่าง 2 ชาติ กำลังตกอยู่ในภาวะดิ้นรนอย่างหนัก จำนวนมากประสบปัญหานี้สินท่วมตัวและขาดแคลนทักษะฝีมือตามความต้องการของงานในบ้านเกิดเมืองนอน
งานวิจัยเมื่อเร็วๆนี้ของสถาบันพัฒนาทรัพยากรกัมพูชา(CDRI) ชี้ให้เห็นถึงขอบเขตความท้าทายอย่างใหญ่โต มีแรงงานกัมพูชาราว 720,000 คน จากทั้งหมด 910,000 คน ที่เดินทางกลับบ้านจากวิกฤตชายแดน แต่จนถึงตอนนี้มีผู้ได้งานแล้วแค่ 21% ขณะที่อีกเกือบครึ่งล้านคนยังคงตกงาน
CDRI เตือนว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ความขัดสนในหมู่ครัวเรือนที่เดินทางกลับจากไทยอาจเพิ่มจาก 30% สู่ระดับ 50% และมันไม่ใช่แค่ก่อความทุกข์ทรมานแก่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจชนบทของกัมพูชา ซึ่งพึ่งพิงมาช้านานต่อเงินที่แรงงานในต่างแดนส่งกลับบ้าน
(ที่มา:เฟซบุ๊ก Sam Rainsy/mgronline)