xs
xsm
sm
md
lg

อิสราเอล...โดดเดี่ยวผู้น่าเกลียด-น่าชัง!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เบนจามิน เนทันยาฮู
ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่ “คำพูด” หรือสามารถนำไปสู่ “การปฏิบัติ” ได้อย่างจริงๆ-จังๆ...แต่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่ามติที่ประชุมของกลุ่มประเทศอาหรับและโลกมุสลิม ที่ได้จัดการประชุมสุดยอดและเร่งด่วนในนาม “Arab-Islamic summit” ที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 15 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ออกจะดุเดือดเลือดพล่านไม่น้อยทีเดียวเจียว คือถึงกับเรียกร้องให้บรรดาชาติต่างๆ ที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติทั้งหลาย อันมีอยู่ด้วยกันถึง 193 ประเทศ จากจำนวนประเทศที่มีอยู่ในโลกใบนี้ราวๆ 195 ประเทศ ร่วมกัน “ตัดขาด” เลิกติดต่อ เลิกความสัมพันธ์ ไม่ว่าด้านหนึ่ง-ด้านใดกับ “ประเทศอิสราเอล” ไม่ต่างอะไรจากการเรียกร้องให้โลก“ปัพพาชนียกรรม” ประเทศนี้ จนกว่าจะเลิก “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์”เลิกถ่อย เลิกก้าวร้าว ต่อบรรดาผู้ที่อยู่ร่วมโลกทั้งหลาย อย่างไม่คิดจะบันยะบันยังใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย... 

ส่วนจะเป็นจริง-เป็นจัง เป็นไปตามนั้น หรือไม่? อย่างไร? อันนี้...คงต้อง “ถามใจ” หรือ “วัดใจ” บรรดาประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติในแต่ละประเทศเอาเองนั่นแหละ แต่ถ้าดูจากจำนวนประเทศถึง 147 ประเทศที่เคยร่วมลงมติเห็นด้วยที่จะให้การรับรอง“ประเทศปาเลสไตน์” ตามแนวทางสันติที่รู้จักกันในนาม “The Two State Solution” โดยมีคุณพ่ออเมริกากับอิสราเอลเท่านั้นที่ไม่เห็นควรด้วย ก็น่าจะพอเห็นความในใจของบรรดาประเทศต่างๆ ได้พอสมควร และยิ่งเมื่อ “ไอ้เหี้ยม” อย่างอิสราเอลไม่คิดจะฟังใคร อันเนื่องมาจากมีมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาให้ท้ายมาโดยตลอด แม้แต่บรรดาพันธมิตรที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกาคราวแล้ว-คราวเล่า อย่างบรรดา “ชาติยุโรป” ทั้งหลายก็ดูจะเหลืออด เหลือรับ ต่อความเหี้ยมของอิสราเอลอย่างเห็นได้โดยชัดเจน ถึงขั้นนายกรัฐมนตรีสเปน “นายPedro Sanchez”ต้องออกมาป่าวประกาศเมื่อช่วงวันอังคารที่ผ่านมา (16 ก.ย.) ว่าประเทศสเปนตัดสินใจยกเลิกสัญญาค้าอาวุธ มูลค่าประมาณ 1.18 พันล้านดอลลาร์กับอิสราเอลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และว่ากันว่า...บรรดาชาติยุโรปอื่นๆ ต่างกำลังคิดเดินตามแนวทางเดียวกันกับสเปน ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี เบลเยียม เนเธอร์แลนด์ สโลวีเนีย รวมทั้งเยอรมนีที่ยังคงสองจิต-สองใจอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆฯลฯ... 

แต่ไม่ว่าโลกจะคิดยังไง? ประเทศต่างๆ จะตอบสนองข้อเรียกร้องของชาติอาหรับ-อิสลามกันไปถึงขั้นไหน? สิ่งที่น่าจะ “เจ๊ง...ไม่เป็นท่า!!!” นับแต่นี้ต่อไป ก็คือสิ่งที่ถือเป็นแนวคิดระดับ “ยุทธศาสตร์” ของคุณพ่ออเมริกาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” สมัยแรกโน่นเลย ที่พยายามหาลู่ หาทาง ให้ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างประเทศอิสราเอล สามารถอยู่ร่วมโลกโดยสันติกับบรรดาชาติอาหรับและมุสลิมทั้งหลายได้อย่างจริงๆ จังๆ หรือแนวคิดอันเป็นที่รู้จักกันในนาม “Abraham Accords”นั่นเอง ที่เคยใช้เกลี้ยกล่อม ชักจูง ให้บรรดาประเทศอ่าวอย่างยูเออีและบาห์เรนหันมาฟื้นฟูความสัมพันธ์โดยปกติกับอิสราเอล เช่นเดียวกับจอร์แดนและอียิปต์ สามารถใช้ข้อต่อรองเลิกขึ้นชื่อประเทศซูดานเป็นรัฐก่อการร้าย หรือยอมรับอธิปไตยของโมร็อกโกเหนือพื้นที่ตะวันตกของซาฮารา เพื่อแลกกับการฟื้นฟูสัมพันธ์กับอิสราเอล แต่เมื่อเจอเข้ากับ “ความเหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” แบบ “ม.ม้า” วิ่งไล่แทบไม่ทันของอิสราเอล ในการบุกโจมตีพวก “Hamas” ในดินแดนประเทศกาตาร์ บรรดาประเทศอ่าวทั้งหลาย ไม่ว่ายูเออี ไปจนถึงซาอุดีอาระเบียที่คาดว่าเป็นรายต่อไปตามแนวคิด “Abraham Accords” ก็คงต้อง“ถอยย์ย์ย์ดีกว่า...ไม่อาวว์ว์ว์ดีกว่า” กันไปเป็นรายๆ... 

อย่างไรก็ตาม...งานนี้ คงต้องให้ค่า ให้ราคา ต่อผู้ที่ทุ่มทุน ทุ่มเท ในการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้บรรดาชาติอาหรับและมุสลิมทั้งหลาย หันมาร่วมกันสร้างแรงกดดันต่อศัตรูคู่กัด-คู่อาฆาตอย่างอิสราเอลกันอย่างจริงๆ จังๆ ด้วยการ “เดินสาย”พบปะกับบรรดาผู้นำประเทศต่างๆ ของผู้นำอิหร่าน ประธานาธิบดี “Masoud Pezeshkian” ไม่ว่าจะเป็น เจ้าชาย “Mohammed bin Salman” แห่งซาอุดีอาระเบียประธานาธิบดี “Abdel Fattah El-Sisi” ผู้นำอียิปต์ ที่ถึงขั้นคิดจะเสนอให้บรรดาชาติอาหรับรวมตัวเป็น “NATO แห่งตะวันออกกลาง” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไปจนถึงผู้นำปากีสถาน“Shehbaz Sharif” และผู้นำเลบานอน ประธานาธิบดี “Joseph Aoun” ฯลฯ ที่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าคงต้องหาทางหยุดยั้งความเหี้ยม ความห้าวของกองทัพอิสราเอลให้จงได้!!! 

และสิ่งที่อาจมีส่วนเสริมให้บรรดาชาติอาหรับและโลกมุสลิมเห็นพ้องต้องกันในลักษณะที่ว่า ก็น่าจะมาจากกิริยาท่าที ของประเทศอิสราเอลภายใต้การนำของ “ไอ้เหี้ยม” อย่างนายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” นั่นเอง ที่ไม่เพียงแต่อาศัย“สงคราม” เป็นหนทางในการ “อยู่รอด” ของตัวเอง แต่ยังพยายามที่จะ “ขยายขอบเขตสงคราม” ให้ลุกลามไปยังพื้นที่ดินแดนต่างๆ จนทำให้ใครต่อใครเกิดความสยดสยองต่อสิ่งที่เรียกว่า “The Greater Israel” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าความพยายามยึดครองพื้นที่ฉนวนกาซา ด้วยการถล่มแล้ว-ถล่มอีก จนแทบทุกตารางนิ้วกลายเป็นเศษซากปรักหักพังไปหมดแล้ว แต่ล่าสุด...ตามการแถลงของโฆษก “IDF” เพียงแค่สัปดาห์เดียว กองทัพอากาศอิสราเอลยังตามไปถล่มเป้าหมายในพื้นที่ดังกล่าวถึง 850 เป้าหมายด้วยกัน แถมยังคิดจะผนวกดินแดน “West Bank” ของชาวปาเลสไตน์ให้กลายเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลอีกด้วยต่างหาก นอกจากนั้นยังตามไปถล่มพวก “Hezbollah” ในเลบานอน โดยไม่สนใจข้อตกลงหยุดยิงใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย รวมทั้งถล่มกองกำลังรัฐบาลชั่วคราวแห่งซีเรีย ที่มีซาอุฯ และตุรเคียให้การสนับสนุน เพื่อที่จะผนวกดินแดนซีเรียให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอลให้จงได้ ถล่มผู้ที่ต่อต้าน แข็งขืน ไม่ยอมศิโรราบอย่างพวก “Houthi” ในเยเมน คราวแล้ว-คราวเล่า ล่าสุด...ก็ไปหย่อนระเบิดใส่เมืองท่า “Hodeidah” หลังจากถล่มกรุง “Sanaa” มาก่อนหน้านี้ ไปจนถึงการบุกถล่มพวก“Hamas” ในดินแดนกาตาร์ โดยไม่ได้คิดบันยะบันยังใดๆเอาเลยแม้แต่น้อย ฯลฯ 

อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ความน่าเกลียด น่ากลัว ของอิสราเอล เป็นสิ่งที่แทบไม่ต้องสงสัยใดๆ อีกต่อไปสำหรับโลกทั้งโลก แต่แทนที่จะรู้สึก สำนึกตัว ว่าโลกแทบจะทั้งโลกทนไม่ไหว รับไม่ได้กับ “ความเหี้ยย์ย์ย์มม์ม์ม์” ของอิสราเอลอีกต่อไปแล้ว ผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” กลับออกมากระตุ้นให้บรรดาผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจและการทหารทั้งหลาย ในช่วงวาระการประชุมประจำปีของกระทรวงการคลัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (15 ก.ย.) ว่าให้เร่ง “ปรับระบบเศรษฐกิจ” เพื่อยืนหยัดต่อต้านการแซงชั่นและบอยคอตจากโลกทั้งโลก หรือต้องพร้อมที่จะ “โดดเดี่ยวตัวเอง”ด้วยการปรับปรุงเศรษฐกิจไว้สำหรับการพึ่งพาตัวเองในอนาคต โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรมอาวุธ  หรือ “เราต้องพัฒนาอุตสาหกรรมการป้องกันภายใน เพื่อให้เราเป็นเหมือนอย่างเอเธนส์และสปาร์ตา...เราไม่มีทางเลือก อย่างน้อยภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ถูกกีดกันหรือความพยายามที่จะโดดเดี่ยวอิสราเอล...” 

ส่วนจะเป็นเหมือนกับอดีตมหาอำนาจชาวกรีก อย่างเอเธนส์หรือสปาร์ตาได้มาก-น้อยเพียงใด? อันนั้น...ก็คงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอิสราเอลโดยลำพังแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังคงต้องขึ้นอยู่กับผู้ให้การสนับสนุนอิสราเอลมาโดยตลอดนับแต่ประเทศนี้อุบัติขึ้นมา หรือผู้ที่พร้อมจะควักเงินภาษีอากรในกระเป๋าราษฎรตัวเอง ไม่น้อยไปกว่า 310,000 ล้านดอลลาร์ นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1946 เป็นต้นมา ถ้าว่ากันตามข้อมูล สถิติขององค์กร “CFR”(Council on Foreign Relations) เพื่อช่วยสร้าง “อำนาจทางทหาร” ให้อิสราเอลเอาไว้เล่นงานผู้อื่น นั่นก็คือคุณพ่ออเมริกาผู้ที่พยายามแบก “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอลเอาไว้บนบ่า จนได้ชื่อว่า “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลแห่งพรรครีพับลิกัน หรือเดโมแครต ก็ตามที... 

ด้วยเหตุนี้...ภายใต้โลกที่กำลัง “แบ่งขั้ว-แบ่งข้าง” แยกออกเป็นฝ่าย “โลกขั้วอำนาจเดียว” และ “โลกหลายขั้วอำนาจ”ความน่าเกลียด น่ากลัวของอิสราเอล เลยกลายเป็นความน่าชิงชัง รังเกียจต่อผู้สนับสนุนอิสราเอลอย่างคุณพ่ออเมริกาตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ หรือทำให้มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกที่พยายามจะดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ความพยายามกอบกู้ประเทศอเมริกาให้กลับคืนมาสู่ความเป็น “America Great Again” ให้จงได้ ก็เลยหนีไม่พ้นต้องกลายสภาพเป็น “โดดเดี่ยวผู้น่าเกลียด-น่าชัง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ และนั่นเองที่จะทำให้อนาคตของโลกใบนี้ ย่อมต้องถูกแปรสภาพ ย่อมต้องเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างมิมีวันหวนกลับไปสู่จุดเดิมได้อีกต่อไป ไม่ว่าจะฝืน จะขืน กันในลักษณะไหนก็ตามที...


กำลังโหลดความคิดเห็น