เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปแถวๆ ตะวันออกกลางกันอีกสักเที่ยว คือไปดู “ความกร่างง์ง์ง์”ของคุณปู่อิสราเอล ภายใต้การนำของ “ไอ้เหี้ยม”อย่าง นายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu”ที่ยังคงเป็นไปในแบบ “รั้งไม่หยุด-ฉุดไม่อยู่” ชนิดไม่ว่า “ม.ม้า” หรืออักษรตัวไหนๆ ก็วิ่งไล่ “ความเหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ของโมฆบุรุษผู้นี้แทบไม่ทัน เรียกว่า...ไม่ใช่แค่ไล่ยิง ไล่ฆ่า ประหัตประหารพร่าผลาญฆ่าล้างเผ่าพันธุ์บรรดาชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ชนิดตายแล้ว-ตายเล่าในแต่ละวัน ปาเข้าไปราวๆ60,000-70,000 (ตาย 64,718 ราย บาดเจ็บ 163,859 ราย) เข้าไปแล้ว แต่กระทั่งผู้ที่ต้องอดอยาก อดอาหาร ไม่มีน้ำดื่ม ยารักษาโรค ที่ยังคงติดแหงกอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ยังไม่ถึงกับอดตาย หิวตาย แต่ก็หนีไม่พ้นต้องตายเพราะระเบิดและกระสุนของทหารอิสราเอล วันละไม่ต่ำกว่าสิบๆ รายจนได้!!!
อย่างที่รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขกาซา ท่านได้ออกมาแจ้งแถลงไขไว้เมื่อวันที่11 ก.ย.ที่ผ่านมาว่าภายในชั่วเวลาแค่ 24 ชั่วโมงของวันนี้ ทหารอิสราเอลภายใต้การสนับสนุนของคุณพ่ออเมริกา ได้เข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์รวดเดียวไปอีก 79 ราย บาดเจ็บ 356 ราย เพื่อที่หวังจะขับไล่บรรดาลูกเด็กเล็กแดง ผู้หญิง คนชรา ที่ล้วนเป็นพลเรือนชาวปาเลสไตน์ไปด้วยกันทั้งสิ้น ให้ออกไปจากศูนย์อพยพ “Al-Mawas” บริเวณพื้นที่ด้านใต้ของฉนวนกาซา และไม่เพียงแต่กระเหี้ยนกระหือรือในการล้างผลาญ
ทำลายบรรดาชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่แห่งนี้ เพื่อที่จะผนวกเอาอาณาบริเวณดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่ง-ส่วนเดียวกันกับประเทศอิสราเอลอย่างเป็นการถาวรให้จงได้ ตามที่รัฐสภาอิสราเอลได้เปิดไฟเขียวเอาไว้ให้ ล่าสุด...ผู้นำอิสราเอลยังออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าได้อนุมัติแผนการที่จะให้บรรดาชาวอิสราเอล ยกขโยงเข้าไปตั้งถิ่นฐานในอาณาบริเวณที่เรียกว่า “โครงการE-1” ที่ลามลึกเข้าไปในเขต “West Bank” หรือในเขตที่บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายถูกเสือกไสไล่ส่งให้เข้าแออัดยัดเยียดอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ นับตั้งแต่ดินแดนปาเลสไตน์ได้ถูกแปรสภาพให้กลายเป็น “ประเทศอิสราเอล”มาจนทุกวันนี้นั่นเอง...
พร้อมกันนั้น...ก็ยังออกมายืนหยัด ยืนยัน ไว้ด้วยว่า นับแต่นี้สิ่งที่เรียกว่า “ประเทศปาเลสไตน์” จะไม่มีวันอุบัติขึ้นมาในอาณาบริเวณแห่งนี้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจาก “เรากำลังทำให้คำมั่นสัญญาของเราสัมฤทธิผล นั่นก็คือจะต้องไม่มีรัฐปาเลสไตน์อีกต่อไป
ด้วยเหตุเพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นของเราและเราจะต้องพิทักษ์รักษามรดกของเรา ความมั่นคงของเรา” หรือเพื่อยืนยันว่าคำมั่นสัญญาที่ “พระเจ้าของชาวอิสราเอล” ได้ให้ไว้กับบรรพบุรุษของตัวเองเมื่อไม่รู้จะกี่พันกี่หมื่นปีมาแล้ว คือมรดกตกทอดที่ใครจะมาละเมิด จะมาล่วงล้ำความมั่นคงของอิสราเอลไม่ได้โดยเด็ดขาด!!! ส่วนโลกแทบจะทั้งโลก หรือบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกถึง142 ประเทศ ที่นำโดยซาอุดีอาระเบียและฝรั่งเศสร่วมกัน “ลงมติ” ในที่ประชุมสหประชาชาติ ให้การยอมรับความมีอยู่ของ “ประเทศปาเลสไตน์”ตามแนวทางที่จะนำไปสู่ “สันติภาพ” การคลี่คลายข้อขัดแย้งในอาณาบริเวณดังกล่าว ที่เรียกๆ กันว่า “The Two State Solution” นั้น ทูตอิสราเอลประจำยูเอ็น อย่าง “นายDanny Danon” ได้ออกมาเยาะเย้ยไว้อีกต่างหาก ว่าการกระทำดังกล่าว ไม่ได้ถือเป็นเรื่องราวทางการทูตแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงแค่ “บทละคร”ฉากหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ต่างไปจากรัฐมนตรีขวาสุดโต่งของอิสราเอล “นายBezalel Smotrich”ที่ออกมาป่าวประกาศอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน ว่านับจากนี้...สิ่งที่เรียกว่า “ประเทศปาเลสไตน์” จะไม่มีวันอุบัติขึ้นมาอีกต่อไปแล้ว...
แถมเผลอๆ...สิ่งที่เรียกว่า “ประเทศอิสราเอล” ทุกวันนี้ อาจเกิดอาการพองตัว ขยายตัว ลามเข้าไปยังส่วนใดส่วนหนึ่งของประเทศจอร์แดน ซีเรีย อียิปต์ หรือแม้แต่อิรัก ฯลฯ ตามแนวคิด ความเชื่อ อันเนื่องมาจาก “คำมั่นสัญญา” โดย “พระผู้เป็นเจ้าของชาวอิสราเอล”หรือที่รู้จักกันในนาม “The Greater Israel” เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะบางส่วนของซีเรีย อย่างที่ราบสูงโกลันทุกวันนี้ก็ได้ถูกผนวกให้กลายเป็นดินแดนอิสราเอลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ความพยายามบุกเข้าไปกดดันให้ “ปลดอาวุธ”พวก “Hezbollah” ในเลบานอน เพื่อให้ถอยร่นไปจากฐานปฏิบัติการริมฝั่งแม่น้ำใกล้ชายแดนอิสราเอล รวมทั้งการยึดครองฉนวนกาซาอย่างเป็นการถาวร การขยายพื้นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวอิสราเอลในเขต “West Bank” ฯลฯ ต่างมีส่วนทำให้แนวคิด ความเชื่อเช่นนี้ ออกจะเป็นจริง-เป็นจัง ยิ่งเข้าไปทุกที...
และด้วย “ความกร่างง์ง์ง์” เช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผู้นำอิสราเอลไม่ได้รู้สึกตะขิดตะขวงใจใดๆ แม้แต่น้อย ในการล่วงละเมิดอธิปไตยของประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง ด้วยการบุกเข้าไปโจมตีพวก “Hamas”ในดินแดนประเทศกาตาร์ที่พยายามเป็น “ตัวกลาง”ให้กับการเจรจาหยุดยิงระหว่างทั้งสองฝ่าย ดังที่ “นายBenjamin Netayahu”ได้ป่าวประกาศเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าอิสราเอลพร้อมเสมอที่จะเล่นงานพวก “Hamas” ไม่ว่าหลบอยู่ในพื้นที่แห่งใด ส่งผลให้ประเทศที่เคยถูกเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้หันมาญาติดีกับอิสราเอล ตามแนวทางสันติภาพในแบบฉบับของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”ที่เรียกๆ กันว่า “Abraham Accords” อย่างประเทศ “UAE”หนึ่งในกลุ่ม “ประเทศอ่าว”หรือ “GGC”(The Gulf Cooperation Council) ถึงกับอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมากล่าวประณามการกระทำของอิสราเอลครั้งนี้แบบตรงไป-ตรงมา หรือถือว่าการล่วงละเมิดอธิปไตยของกาตาร์ก็คือการล่วงละเมิดอธิปไตยของบรรดาประเทศอ่าวทั้งมวล อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
ส่วนถ้าจะถามว่า...ทำไม? อิสราเอลถึงได้ “กร่างง์ง์ง์” แบบชนิดรั้งไม่หยุด-ฉุดไม่อยู่เช่นนี้ ดูเหมือนผู้ที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้นไปจากมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ผู้ที่ถือว่าอิสราเอลคือ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเองนั่นเอง คือไม่ว่าอิสราเอลจะเหี้ยม จะโหด จะอำมหิตผิดมนุษย์มนาถึงขั้นไหน รัฐบาลอเมริกาไม่ว่าจะยุค “โจ ซึมเซา”หรือ “ทรัมป์บ้า”ที่ต่างก็เป็น “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว”ไปด้วยกันทั้งสิ้น ต่างก็พร้อมที่จะ “อมสากกะเบือ”เอาไว้คนละด้าม-สองด้าม เพราะแม้แต่ผู้ที่ “ใฝ่หา(รางวัล)สันติภาพ” ระดับ “โนเบล พีซ ไพรซ์”อย่างประธานาธิบดีอเมริกันคนปัจจุบัน ยังหนีไม่พ้นต้องรับสารภาพระหว่างการให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “Daily Color” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาว่า “อิสราเอลมีล็อบบี้ที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐสภาอเมริกันเท่าที่ผมเคยพบเห็น ไม่ว่าจะเปรียบกับองค์กรไหน บริษัทไหน หรือรัฐใดๆ มันน่าทึ่งเอามากๆ”ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “ผู้ใฝ่หา(รางวัล)สันติภาพ”อย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่เพียงแต่ต้องอมสากกะเบือไว้มิดด้ามแต่ยังต้องออกมาป่าวประกาศด้วยว่า “ไม่มีใครทำเพื่อประเทศอิสราเอลมากกว่าตัวข้าพเจ้าเองอีกแล้ว!!!”
และอันนี้นี่เอง...ที่ทำให้ความน่าเกลียด น่าชัง น่าขยะแขยงของอิสราเอล อันเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกยิ่งเข้าไปทุกทีได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้พันธมิตรของอิสราเอลอย่างคุณพ่ออเมริกา กลายเป็นที่น่าชิงชัง รังเกียจ ตามไปด้วยอย่างช่วยอะไรแทบไม่ได้ หรือทำให้บรรดาประเทศต่างๆ ในภูมิภาคตะวันออกกลางไม่ว่าที่เคยยอมศิโรราบ หรือเคยถืออเมริกาเป็นพันธมิตรในด้านหนึ่ง-ด้านใด ต่างหนีไม่พ้นต้องพยายามตีตัวออกห่าง “ถอยย์ย์ย์...ดีกว่า ไม่อาวว์ว์ว์...ดีกว่า” กันไปเป็นแถบๆ โดยเฉพาะในระหว่างที่บรรดาประเทศในตะวันออกกลางและประเทศมุสลิมทั้งหลาย ได้จัดประชุมสุดยอดเพื่อพบปะหารือระหว่างกันและกัน หรือที่เรียกว่า “Islam-Arab Summit”ที่เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ ในระหว่างวันอาทิตย์ที่ 14 และวันจันทร์ที่ 15 ก.ย.เดือนนี้ โดยมีประเทศศัตรูคู่กัด-คู่อาฆาตของอเมริกาและอิสราเอล อย่างประเทศอิหร่านเข้าร่วมประชุมด้วย...
โดยในช่วงจังหวะที่ความน่าชิงชังรังเกียจของทั้งประเทศอิสราเอลและอเมริกากำลังพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดเช่นนี้นี่เองที่ทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน “นายAbbas Araghchi” จึงได้กล้าป่าวประกาศไว้ด้วยถ้อยคำที่ว่า... “ถึงเวลาแล้ว!!! สำหรับการลงมือปฏิบัติ เพราะถ้าเป็นเพียงแค่คำพูดของบรรดาประเทศอาหรับและโลกมุสลิมทั้งหลาย มันย่อมไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งความโหดเหี้ยมของอิสราเอลอีกต่อไปได้เลย ดังนั้น...เราจึงพยายามที่จะเสนอให้ที่ประชุมครั้งนี้ ตัดขาดความผูกพันใดๆ ต่อระบอบการปกครองไซออนิสต์ หยุดยั้งความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สร้างแรงกดดันต่อประเทศใดๆ ก็ตาม ที่ยืนเคียงข้างอิสราเอลและพวกโลกตะวันตก หยิบยื่นการแซงชั่นและการลงโทษทางเศรษฐกิจ ให้กับบรรดาพวกเขาเหล่านี้...”
นี่...เป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ คงต้องคอยรอดูข้อสรุปและมติของบรรดาประเทศอาหรับรวมทั้งโลกมุสลิมทั้งหลายว่าจะเห็นควรด้วย-ไม่เห็นควรด้วย หรือไม่? ประการใด? ต่อข้อเรียกร้องของประเทศอิหร่านที่มีฐานะเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ของทั้งประเทศหมีขาวรัสเซียและพญามังกรจีนที่กำลังพยายามผนึกกำลังรวมตัวกันในกลุ่มประเทศ “โลกใต้”หรือ “โลกหลายขั้วอำนาจ” เพื่อผลักดันให้เกิด “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่ไม่ได้ถูกขีดเส้น กำหนดให้ต้องเป็นไปตามความปรารถนา ความต้องการของโลกตะวันตก ของคุณพ่ออเมริกาและบรรดาพันธมิตรทั้งหลายอย่างมิอาจเปลี่ยนแปรไปเป็นอื่นและถึงแม้จะเป็นไปในรูปไหน? แบบไหน? ก็ตาม แต่ด้วยความน่าชิงชังรังเกียจของอิสราเอลและอเมริกา ที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกอย่างชนิดวันแล้ว-วันเล่า อย่างน้อย...ก็น่าจะส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อ “สมดุลอำนาจ”ของแนวรบที่สำคัญเอามากๆ อย่าง “แนวรบตะวันออกกลาง” ไม่มาก-ก็น้อย อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงใดๆ ได้เลย!!!