xs
xsm
sm
md
lg

Lazarus เจาะระบบปล้น Lykke สตาร์ทอัพอังกฤษ กวาดเรียบ 23 ล้านดอลลาร์ สั่นคลอนความเชื่อมั่นโลกดิจิทัล

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



Lykke บริษัทสตาร์ทอัพด้านคริปโตสัญชาติอังกฤษ กลายเป็นเหยื่อรายล่าสุดของสงครามไซเบอร์ เมื่อกลุ่ม Lazarus จากเกาหลีเหนือถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังการโจรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลมูลค่า 23 ล้านดอลลาร์ เหตุการณ์นี้ไม่เพียงทำให้บริษัทล้มละลาย แต่ยังสะท้อนถึงการปะทะเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างโลกการเงินดิจิทัลกับเครือข่ายอาชญากรรมระดับรัฐชาติ

Lykke ซึ่งก่อตั้งเมื่อปี 2015 และดำเนินธุรกิจจากสวิตเซอร์แลนด์ แต่จดทะเบียนในสหราชอาณาจักร ประกาศสูญเสียเงิน 158 BTC และ 2,161 ETH จากการถูกแฮ็กในปีที่ผ่านมา โดยแฮ็กเกอร์รีบฟอก Ether ที่ขโมยมาเป็น DAI ผ่าน MakerDAO ขณะที่ Bitcoin ถูกโอนไปยังกระเป๋าหลายใบเพื่อพรางร่องรอย การโจมตีดังกล่าวทำให้บริษัทเผชิญวิกฤติศรัทธา จนนำไปสู่การปิดกิจการตามคำสั่งศาลในเดือนมีนาคม หลังผู้ใช้รวมตัวฟ้องร้องเรียกร้องความเป็นธรรม

รายงานล่าสุดจาก The Telegraph ระบุว่าสำนักงานคว่ำบาตรทางการเงิน (OFSI) ของสหราชอาณาจักร ได้ชี้ชัดว่ากลุ่ม Lazarus เป็นผู้ลงมือ โดยระบุว่า “ผู้โจมตีคือแฮ็กเกอร์จากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลีที่ขโมยเงินทั้งจากเครือข่าย Bitcoin และ Ethereum” สะท้อนถึงการบูรณาการทรัพยากรระดับรัฐในการใช้คริปโตเป็นแหล่งทุนสำหรับอุตสาหกรรมอาวุธและโครงการนิวเคลียร์ของเปียงยาง

การโจรกรรมครั้งใหญ่ที่สหราชอาณาจักรไม่อาจมองข้าม

หากข้อกล่าวหานี้ได้รับการยืนยัน เหตุการณ์ดังกล่าวจะกลายเป็นหนึ่งในการปล้นคริปโตครั้งใหญ่ที่สุดของเกาหลีเหนือที่มุ่งเป้าไปยังอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้ Lazarus ถูกเชื่อมโยงกับการโจมตีมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ที่ ByBit ตลาดซื้อขายคริปโต และเหตุแฮ็ก CoinDCX ของอินเดียที่ทำให้สูญเงินอีก 44 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคมปีนี้

ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจาก Cyvers และ Whitestream ต่างยืนยันบทบาทของ Lazarus ในเครือข่ายโจรกรรมนี้ พร้อมเปิดเผยว่าแฮ็กเกอร์ได้ใช้บริษัทคริปโตอื่น 2 แห่งในการฟอกเงินเพื่อเลี่ยงการตรวจสอบ แม้ยังมีนักวิจัยบางฝ่ายแย้งว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ แต่กระแสหลักชี้ไปที่ร่องรอยฝีมือของเกาหลีเหนืออย่างเด่นชัด

สัญญาณเตือนต่อโลกการเงินดิจิทัล

เหตุการณ์ Lykke เป็นมากกว่าคดีปล้น มันคือการสะท้อนถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินใหม่ ที่แม้มีเทคโนโลยี Blockchain ค้ำยัน แต่ยังไม่อาจต้านทานการโจมตีเชิงยุทธศาสตร์จากเครือข่ายระดับรัฐชาติได้ สะท้อนให้เห็นว่าโลกคริปโตไม่ได้เป็นเพียง “สินทรัพย์ทางเลือก” อีกต่อไป แต่เป็นสนามต่อสู้ระหว่างเศรษฐกิจดิจิทัลกับเกมการเมืองระหว่างประเทศ

สำหรับนักลงทุนและหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก เหตุการณ์นี้คือบทเรียนสำคัญที่ย้ำว่าการสร้างระบบคุ้มครอง ความโปร่งใส และมาตรการป้องกันการฟอกเงินคือสิ่งที่ไม่อาจชะลอได้ หากต้องการให้คริปโตเดินหน้าอย่างยั่งยืนในเศรษฐกิจโลกยุคใหม่