หน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางการเงินบล็อกเชน T3 FCU ที่ก่อตั้งโดย Tron, Tether และ TRM Labs เดินหน้าขยายเครือข่ายพันธมิตร ด้วยการเพิ่มไบแนนซ์เข้าร่วมโครงการ T3+ เป็นรายแรก หลังสกัดกั้นสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมายทะลุ 250 ล้านดอลลาร์ภายในไม่ถึงปี ท่ามกลางการโจมตีคริปโตความเร็วสูง ที่เงินหายไปก่อนเหยื่อรู้ตัวเพียงไม่กี่นาที
วงการคริปโตเข้าสู่โหมดไล่ล่าความเร็วสูง เมื่อหน่วยปราบปรามอาชญากรรมทางการเงิน T3 Financial Crime Unit (T3 FCU) ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของ Tron, Tether และ TRM Labs ประกาศความสำเร็จในการอายัดสินทรัพย์ดิจิทัลผิดกฎหมายมูลค่ารวมกว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี พร้อมขยายขีดความสามารถด้วยการเปิดตัว โครงการ T3+ ที่ดึง Binance เข้าร่วมเป็นพันธมิตรระดับ T3+ รายแรก
T3 FCU ก่อตั้งขึ้นในเดือนกันยายน 2567 ในฐานะโมเดลความร่วมมือภาครัฐ–เอกชน เพื่อสกัดธุรกรรมบล็อกเชนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงิน ทั้งการฟอกเงิน การฉ้อโกงการลงทุน การแบล็กเมล์ การสนับสนุนการก่อการร้าย และอาชญากรรมไซเบอร์รูปแบบต่างๆ โดยทำงานเชื่อมโยงกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในหลายประเทศ
ตัวเลข 250 ล้านดอลลาร์ที่อายัดได้ สะท้อนการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของหน่วยงาน หลังจากเพียง 6 เดือนแรกสามารถยึดสินทรัพย์ผิดกฎหมายได้กว่า 100 ล้านดอลลาร์ ล่าสุดตั้งแต่สิงหาคม 2567 เป็นต้นมา ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
โครงการ T3+ จะขยายขอบเขตการปฏิบัติการจากกรอบเดิม ด้วยการเชิญผู้ให้บริการแลกเปลี่ยน สถาบันการเงิน และผู้เล่นรายสำคัญในอุตสาหกรรมทั่วโลก มาร่วมแบ่งปันข่าวกรองและตอบสนองต่อภัยคุกคาม “แบบเรียลไทม์” ตามคำกล่าวของจัสติน ซัน ผู้ก่อตั้ง Tron ว่าเป็น “การยกระดับความร่วมมือของทั้งอุตสาหกรรมเพื่อจัดการภัยคุกคามได้ทันสถานการณ์”
โจทย์ใหญ่ภัยคุกคาม "แฮ็กเกอร์ความเร็วสูง เงินหายก่อนรู้ตัว"
สถานการณ์ล่าสุดในตลาดคริปโตยิ่งตอกย้ำความจำเป็นของกลไกเหล่านี้ รายงานจาก Global Ledger บริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนสัญชาติสวิส เผยว่าเฉพาะครึ่งแรกของปี 2568 มีการโจรกรรมคริปโตมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ โดยแฮ็กเกอร์สามารถฟอกเงินได้เร็วที่สุดภายใน 3 นาที และกว่า 30% ของคดีฟอกเสร็จสิ้นภายใน 24 ชั่วโมง
ค่าเฉลี่ยการเคลื่อนย้ายเงินอยู่ที่ราว 15 ชั่วโมงหลังแฮ็ก แต่ใน 23% ของกรณี เงินถูกฟอกหมดก่อนที่สาธารณะจะรู้ตัวว่ามีการเจาะระบบ ทำให้การกู้คืนทำได้เพียง 4.2% ของมูลค่าทั้งหมด
ความท้าทายยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อพบว่า 15% ของคริปโตผิดกฎหมายไหลผ่านแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนแบบรวมศูนย์ ซึ่งทีมงานปฏิบัติตามกฎระเบียบมีเวลาเพียง 10–15 นาทีในการสกัดธุรกรรมต้องสงสัย ก่อนที่สินทรัพย์จะถูกเคลื่อนย้ายไปจนสุดเส้นทางการติดตาม
เบื้องหลังหลายคดีมีร่องรอยเชื่อมโยงกับกลุ่มแฮ็กเกอร์ที่รัฐหนุนหลัง และ เครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ข้ามชาติ ทำให้การกู้คืนและการบังคับใช้กฎหมายมีความซับซ้อนเป็นพิเศษ ตัวอย่างล่าสุดเกิดเมื่อต้นสัปดาห์นี้ เมื่อมีการอ้างว่ามีการเจาะเข้าระบบจารกรรมไซเบอร์ของรัฐบาลเกาหลีเหนือ พร้อมเปิดเผยยุทธวิธีโจมตีแพลตฟอร์มคริปโตทั่วโลก
“สิทธิอายัด” ของผู้ให้บริการ Stablecoin
แม้ T3 FCU จะมีผลงานเด่นและการเข้าร่วมของ Binance อาจเพิ่มประสิทธิภาพการหยุดยั้งอาชญากรรม แต่ประเด็นที่ถกเถียงยังคงอยู่ คืออำนาจของผู้ออก Stablecoin และแพลตฟอร์มแบบรวมศูนย์ในการ “อายัดเงิน”
กรณี Tether อายัด USDt มูลค่าเกือบ 86,000 ดอลลาร์เมื่อเดือนก่อน จุดกระแสโต้เถียงเรื่องความรวมศูนย์ในระบบนิเวศคริปโต เนื่องจากผู้ให้บริการสามารถหยุดธุรกรรมได้ในระดับสัญญาอัจฉริยะ อำนาจดังกล่าวเป็นดาบสองคม ทั้งช่วยสกัดการโจรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจกระทบหลักการกระจายศูนย์ที่คริปโตยึดถือ
อย่างไรก็ตาม เปาโล อาร์โดยิโน ซีอีโอ Tether ย้ำชัดว่า “ผู้ไม่หวังดีไม่มีที่หลบซ่อนบนบล็อกเชน และด้วยความร่วมมือเท่านั้นที่เราจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้มากขึ้นสำหรับผู้ใช้ทั่วโลก”