เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเริ่มต้นด้วยการลองไปฟังสุ้มเสียงของผู้ที่สหประชาชาติเขาได้แต่งตั้งให้เป็นผู้นำเสนอรายงานถึงฉากสถานการณ์ความเป็นไปในดินแดนฉนวนกาซา นั่นคือคุณ “Francesca Albanese”นักกฎหมายชาวอิตาลีจากมหาวิทยาลัย “Pisa”และ “University of London” ที่ได้รวบรวมรายละเอียดตื้น-ลึก-หนา-บางนำมารายงานให้กับที่ประชุม ณ นครเจนีวา เมื่อช่วงศุกร์(4 ก.ค.) ที่ผ่านมา...
ซึ่งในสายตาของนักกฎหมายชาวอิตาลีรายนี้...ความสับสนอลหม่าน ความโหดเหี้ยม โหดร้าย ที่กำลังปรากฏอยู่ในดินแดนฉนวนกาซาทุกวันนี้ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากฉากสถานการณ์ “วันสิ้นโลก”(apocalyptic) ในพระคัมภีร์ไบเบิล...นั่นแล!!! ไม่เพียงแต่ชีวิตมนุษย์มนาชาวปาเลสไตน์จะบาดเจ็บล้มตาย ไปแล้วไม่น้อยไปกว่า200,000 ราย บรรดาผู้ที่อดอยากหิวโหย ขาดอาหาร ขาดยารักษาโรคอันเนื่องมาจากกองทัพอิสราเอลพยายามที่จะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธยังมีจำนวนนับเป็นล้านๆ หรือทำให้คุณ “Francesca Albanese” เธออดไม่ได้ที่จะต้องให้ข้อสรุปว่า... “อิสราเอลคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อันสุดแสนจะโหดเหี้ยมป่าเถื่อนที่สุด ในยุคแห่งโลกสมัยใหม่ของเรา...”นี่...เรียกว่าถือเป็นข้อสรุปที่ออกจะน่าขนลุกขนพอง น่าสยดสยอง เป็นอย่างยิ่ง...
และอันที่จริงไม่ใช่แต่เฉพาะนักกฎหมายชาวอิตาลีรายนี้เท่านั้น...ก่อนหน้านั้นผู้นำตุรกี-ตุรเคีย ท่านประธานาธิบดี “Recep Tayyip Erdogan”ท่านก็เคยพูดทำนองนี้เอาไว้ต่อหน้าสมาชิกรัฐสภาตุรกีตั้งแต่กลางเดือนมิถุนาฯ ที่ผ่านมาแล้วว่า...ความโหดเหี้ยมของผู้นำอิสราเอล อย่าง “นายBenjamin Netanyahu” นั้น ได้ “แซงหน้า”จอมเผด็จการ “ฮิตเลอร์” แห่งเยอรมนีไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ดังคำพูดที่ว่า...“ภาพที่น่าสยดสยองที่สุดซึ่งเราทั้งหลายเคยได้เห็นจากภาพถ่ายหรือวิดีโอเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น กลายเป็นภาพที่จืดชืดไปโดยทันที เมื่อเปรียบกับภาพที่เรากำลังได้เห็นในฉนวนกาซา ความโหดเหี้ยมของNetanyahu นั้น ได้แซงหน้าทรราชฮิตเลอร์ในแง่อาชญากรรมแห่งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...”
คือเอาง่ายๆ...แค่จากการนับนิ้วคำนวณของคุณ “Francesca Albanese”ถึงการถล่มระเบิดใส่พื้นที่เล็กๆ แคบๆ ในดินแดนฉนวนกาซาตลอดช่วง20 เดือนที่ผ่านมาของกองทัพอิสราเอล ที่ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าได้ใช้ปริมาณระเบิดไม่น้อยไปกว่า85,000 ตัน หรือมากกว่าจำนวนระเบิดที่ถูกใช้ในการถล่มเมืองฮิโรชิมาของคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถึง 6 เท่า เอาเลยถึงขั้นนั้น แถมยังใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นเสมือน “ห้องทดลองอาวุธ” ของอุตสาหกรรมทางทหารอิสราเอล (Laboratory for Israel military-industrial complex) หรือใช้บรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลายนั่นแหละ ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนแก่-คนชรา เป็นเป้าซ้อมยิงด้วยอาวุธใหม่ๆ ใช้ตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบเรดาร์ ฯลฯ โดยมีบรรดาบริษัทธุรกิจที่หาแ-ก หารับประทาน กับกิจกรรมทำนองนี้ร่วมกับกองทัพอิสราเอลไม่น้อยกว่า 48 บริษัท ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผลิตอาวุธ ธนาคาร บริษัทด้านเทคโนโลยี พลังงาน ฯลฯ จนส่งผลให้สามารถทำกำไรระดับอุจจาระแตกอุจจาระแตน ในตลาดหุ้น “Tel Aviv” มากถึง213 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นบริษัทดังๆ อย่าง “Amazon”, “Microsoft”, “BNP Paribas”หรือ “Hyundai” ฯลฯ เป็นต้น...
ดังนั้น...ในทัศนะของนักกฎหมายชาวอิตาลีรายนี้ เห็นควรให้บรรดาชาวโลกทั้งหลายร่วมกันบอยคอต คว่ำบาตร ทั้งประเทศอิสราเอล และบรรดาบริษัทธุรกิจที่หากินกับเลือดและน้ำตาของมวลมนุษย์โดยไม่ได้รู้สึก รู้สาใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ว่าในแง่การค้า การลงทุน และอะไรต่อมิอะไรก็ตาม แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าสุ้มเสียงที่เปล่งออกมาจากผู้ที่สหประชาชาติมอบหมายให้เป็นผู้สำรวจตรวจสอบ ข้อเท็จจริงและความจริงทั้งหลาย จะมีความหนักแน่น ชัดเจน รวมทั้งมี “ความเป็นกลาง” รองรับไว้อีกด้วยต่างหาก แต่มันคงไม่ได้ก่อให้เกิด “ผลกระทบ”ใดๆ ต่อ “ไอ้เหี้ยม” อิสราเอล หรือแม้แต่บรรดาบริษัทธุรกิจที่หากินกับความเจ็บปวด ความตายของ “เพื่อนมนุษย์” มากมายสักเท่าไหร่นัก รวมทั้งผู้ที่ให้การสนับสนุนพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอล นั่นคือ...คุณพ่ออเมริกานั่นเอง!!!
เพราะขณะที่การล้างผลาญทำลายดินแดนฉนวนกาซายังคงไม่แล้วเสร็จ บรรดารัฐมนตรีจำนวนถึง14 รายแห่งพรรค “Likud” ของคณะรัฐบาลอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคง เศรษฐกิจ เกษตร พลังงาน คมนาคม-ขนส่ง ฯลฯ ต่างพร้อมใจกันลงชื่อในจดหมายถึงผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu”ให้รีบ “ผนวกดินแดน West Bank”ของชาวปาเลสไตน์ที่อยู่ฟากตรงกันข้ามฉนวนกาซา เอามาเป็นดินแดนของประเทศอิสราเอลให้จงได้!!! นี่...ต้องเรียกว่าอะไรจะน่าเกลียดน่าชัง เช่นนี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว แต่ถึงจะน่าเกลียด น่าทุเรศ น่าสมเพชเวทนาเพียงใดก็แล้วแต่ สิ่งเหล่านี้กลับได้รับการตอบสนองกลับเป็นที่เห็นดี-เห็นงาม ในสายตาของคุณพ่ออเมริกา ดังที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ “นางTammy Bruce”ได้ออกมาขานรับเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าอเมริกาพร้อมที่จะยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอลในการตัดสินใจใดๆ เพื่อความมั่นคงของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์รายนี้...
พูดง่ายๆ ว่า...อเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” คงเลิกแล้ว ไม่คิดจะเอาแล้ว สำหรับทางออก-ทางไปที่147 ประเทศทั่วโลก เห็นว่าน่าจะนำมาสู่สันติภาพในตะวันออกกลางได้มั่ง หรือแบบที่เรียกว่า “The Two-State Solution” อันถือเป็นการยอมรับว่าต้องมีทั้งประเทศอิสราเอลและประเทศปาเลสไตน์ควบคู่กันไป การ “ปล่อยข่าว”ก่อนหน้านี้ว่าผู้นำอเมริกาอาจเห็นดี-เห็นงามกับการรับรอง “รัฐปาเลสไตน์” จึงถือเป็นการ “หลอกแ-ก”หรือหลอกหาตังค์ ขณะเดินทางไปเยือนบรรดาประเทศเศรษฐีอาหรับทั้งหลายเท่านั้นเอง เพราะการผนวก “West Bank”เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล ขณะที่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซากำลังถูกขับไสไล่ส่ง ให้ต้องกลายไปเป็น “ผู้ลี้ภัย”ในหมู่ชาติอาหรับทั้งหลายที่ถูกเสนอให้เข้ามามีส่วนร่วมในการฟื้นฟูบูรณะพื้นที่แห่งนี้ เพื่อให้เป็น “ริเวียรา” แห่งตะวันออกกลางให้จงได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าไม่เหลือดินแดนใดๆ ของชาวปาเลสไตน์ติดปลายนวมเอาไว้เลยแม้แต่น้อย...
อีกทั้ง...นั่นยังหมายถึง “ความมั่นคงของอิสราเอล”ที่ย่อมครอบคลุมไปถึงที่ราบสูงจอร์แดนอันเป็นเขตติดต่อกับ “West
Bank”อีกด้วย ชนิดสามารถใช้พื้นที่ยุทธศาสตร์แห่งนี้เล่นงานบรรดาชาวปาเลสไตน์จำนวน 6.7 ล้านคนที่อพยพหลบหนีภัยเข้าไปปักหลักอยู่ในประเทศจอร์แดน ตั้งแต่ครั้งที่ถูกกองทัพอิสราเอลเสือกไสไล่ส่งมาก่อนหน้านี้ หรือย่อมทำให้ “ความมั่นคงของอิสราเอล”กลายเป็น “ความไม่มั่นคงของจอร์แดน”ไปโดยปริยาย และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? ก็ตามที ที่ทำให้กษัตริย์จอร์แดน “King Abdullah 2” ท่านเลยต้องระบายความในใจต่อที่ประชุมสภายุโรปเมื่อไม่กี่วันมานี้ ถึงขั้นว่า...ฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซานั้น ถือเป็น “A Shameful version of humanity” หรือเป็นความน่าอายของมวลมนุษยชาติเอาเลยถึงขั้นนั้น...
เพราะความพยายามผนวกดินแดนโน้น ดินแดนนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอิสราเอล มันทำให้ “แนวคิด”อันสุดแสนจะทะเยอทะยานของบรรดาพวก “สุดโต่ง”ในหมู่ชาวยิวทั้งหลาย ที่เรียกๆ กันว่า “The Greater Israel”ชักจะเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาแล้วรางๆ นั่นคือ...การอ้างถึงดินแดนที่ “พระผู้เป็นเจ้า” ชาวอิสราเอลได้ทำ “พันธสัญญา” ที่จะมอบให้กับ “ชนชาติที่ได้รับการเลือกสรรแล้ว”อย่างชาวอิสราเอลตั้งแต่หลายต่อหลายพันปีที่แล้ว ชนิดครอบคลุมตั้งแต่ “ลุ่มแม่น้ำไนล์” ไปยันถึง
“ลุ่มแม่น้ำไทกริส-ยูเฟรติส” โน่นเลย หรือตั้งแต่ส่วนหนึ่งของอียิปต์ ซีเรีย จอร์แดน เลบานอน บางส่วนของอิรัก ฯลฯ ต่างหนีไม่พ้นต้องถูกแปรสภาพให้กลายเป็น “ความมั่นคงของอิสราเอล” ไปจนได้ และนั่นย่อมทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งภูมิภาค กลายเป็น “นรกบนดิน” ได้ไม่ยากส์ส์ส์!!!
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “การยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอลในการตัดสินใจใดๆ เพื่อความมั่นคง” ของคุณพ่ออเมริกา จึงแทบไม่ต่างไปจากการพร้อมที่จะยัดเยียดความฉิบหาย-วายวอด ความพังพินาศ ให้กับภูมิภาคตะวันออกกลางทั้งมวล โดยไม่ได้คิดหน้า-คิดหลัง ไม่ได้คิดถึงความมั่นคงของประเทศอื่นๆ เอาเลยแม้แต่น้อย หรือทำให้สิ่งที่เรียกว่า “America First”ของผู้นำอเมริกากลายสภาพเป็น “Israel First”อย่างที่อดีตที่ปรึกษา “ทรัมป์บ้า” สมัยแรก “นายSteve Bannon” ได้ออกมาเตือนๆ เอาไว้แล้วนั่นเอง...
ดังนั้น...“ความน่าเกลียด-น่าชังของอิสราเอล”กับ “ความน่าทุเรศของอเมริกา”จึงกลายเป็น “คนละเรื่องเดียวกัน” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่สุดแสนจะโหดเหี้ยมป่าเถื่อนที่สุดในยุคแห่งโลกสมัยใหม่ของเรา” ดังที่ตัวแทนด้านสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ “นางFrancesca Albanese” เธอได้สรุปเอาไว้ต่อการกระทำของอิสราเอล จึงเป็นสิ่งที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาย่อมหนีไม่พ้นต้องมีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด และนั่นเอง...ที่ทำให้ความหวังความปรารถนา ที่จะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง หรือ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า”ต้องกลายเป็น “America Dead Again” ไปจนได้!!!