เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนให้ลองไปเงี่ยหูฟังบรรดาพวก “นักคิด-นักวิชาการ” หรือประเภทที่เรียกๆ กันว่าพวก “Think-Tank” หรือบรรดาพวกที่ถือเป็น “คลังสมอง” ของประเทศรัสเซียเขา ไม่ว่าที่กระจัดกระจายอยู่ในสโมสรนักคิด อย่าง “The Valdai Discussion Club” อันเป็นองค์กร หรือสถาบันที่รวบรวมเอาพวกผู้เชี่ยวชาญชำนัญการจากสถาบันต่างๆ ไม่ว่าสภานโยบายต่างประเทศและกิจการป้องกันประเทศ สภากิจการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศกรุงมอสโก ไปจนถึงวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง ฯลฯ มาไว้ในเวทีพูดคุยสนทนา เพื่อหาช่องทางโอกาสต่างๆ ให้กับประเทศและสังคมรัสเซีย ไปจนถึงผู้ที่พยายามก่อตั้งโครงการเพื่อก่อให้เกิดความเข้าใจต่อบรรดาชาวตะวันตก ในกรณีความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย อย่างเช่น โครงการ “The Vatfor Project” ที่มีวารสารด้านกิจการโลก กิจการต่างประเทศ หรือ “The Russia Global Affairs” หนุนหลังอยู่ด้วย ฯลฯ ว่าบรรดากลุ่มคนเหล่านี้...เขาคิดอย่างไร? ต่อการพบปะระหว่าง 2 ผู้นำโลกอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ของรัสเซีย และประธานาธิบดีอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่เพิ่งปิดฉาก ปิดผ้าม่านกั้ง ไปเมื่อไม่นานมานี้ เพราะอาจพอช่วยสะท้อนให้เห็นถึงทิศทาง แนวทาง ความเป็นไปของโลกได้มั่ง แม้แต่เล็กๆ-น้อยๆ ก็ยังดี...
คือคงต้องยอมรับว่า...แม้การพบปะระหว่าง “ทรัมป์บ้า” และ “ปูติน” ที่อะแลสกา หรือที่เมือง “Anchorage” เมื่อไม่กี่วันมานี้ มันจะไม่ได้มีคำสัญญิงสัญญา ไม่ได้มีผลสรุปของ “ข้อตกลง” ใดๆ ระหว่างผู้นำทั้งสองก็จริงอยู่ แต่ก็ดูจะก่อให้เกิดความซี๊ดซ๊าด ซู๊ดซ๊าด ต่อบรรดานักคิด-นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซียเสียเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่า...แทบคล้ายๆ ใกล้จะบรรลุถึง “จุดออกัสซั่ม” เอาเลยทำนองนั้น!!! และคงไม่ใช่แต่เฉพาะผู้นำของประเทศตัวเองได้รับการ “ปูพรมแดง” ต้อนรับอย่างสมเกียรติ สมศักดิ์ศรี จากผู้นำประเทศฝ่ายตรงข้ามอย่างคุณพ่ออเมริกาที่ถือเป็นมหาอำนาจสูงสุด หรือมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกแต่เพียงเท่านั้น แต่ก็ด้วย “เหตุผล” และ “คำอธิบาย” ที่ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย และคงมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า บรรดา “มุมมอง” จากพวกนักคิด-นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ น่าจะพอสะท้อนให้เห็นถึงทิศทาง แนวทางความเป็นไปของโลก ได้อย่างชัดเจนพอสมควรทีเดียว...
ดังเช่นที่ “นายSergey Poletaev” แห่งวารสาร “The Russia in Global Affairs” และผู้ร่วมก่อตั้งโครงการ “The Vatfor Project” ร่วมกับ “นายDmitry Stefanovich” บรรณาธิการวารสารดังกล่าว เขาได้สรุปไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดนั่นแหละว่า การที่ผู้นำรัสเซียเดินทางไปจับไม้-จับมือกับผู้นำอเมริกาบนพรมแดง พูดคุยสนทนาเจ๊าะแจ๊ะเจรจากันอย่างออกรส-ออกชาติ ไม่ว่าก่อนหน้าการประชุมหรือหลังการประชุมก็แล้วแต่ มันย่อมสามารถใช้เป็น “หลักฐาน” และ “ข้อพิสูจน์” ได้อย่างชัดเจน แจ่มแจ้ง...ว่า รัสเซียไม่ใช่อันธพาล-ปูตินไม่ใช่อาชญากร-และแม้แต่สงครามยูเครนก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผิดหรือขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งยังอาจถือเป็นตัวบ่งชี้ได้อีกด้วยว่า บรรดา “กฎเกณฑ์” ทั้งหลายในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ต้องถูกเขียน หรือต้องถูกกำหนดมาตรฐานโดย “ตะวันตก” ต่อไปอีกแล้ว และฝ่ายตะวันตกหรือโลกตะวันตกนั้น...ก็น่าจะเป็นเพียงแค่ “ส่วนหนึ่ง” ของโลกทั้งมวล เป็นเพียงศูนย์กลางอำนาจแห่งหนึ่งในหลายๆ ศูนย์กลางอำนาจ และอาจกำลังถูกฉีก ถูกทึ้ง จากปัญหาภายในของประเทศตัวเอง ฯลฯ โดยที่บรรดาสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ สามารถรับรู้ได้ สัมผัสได้ ตามอารมณ์-ความรู้สึกของบรรดาผู้ที่มีโอกาสได้พบเห็นการประชุมสุดยอดครั้งนี้...
และด้วยเหตุนี้ทำนองนี่เอง...ที่ทำให้นักคิดชาวรัสเซียรายนี้เขาถึงได้ตั้งชื่อข้อเขียน บทความดังกล่าวเอาไว้ถึงขั้นว่า “Red carpet for a new world order” หรือไม่ใช่เป็นเพียงแค่มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาต้อง “ปูพรมแดง” เพื่อต้อนรับผู้นำชาวรัสเซียเท่านั้น แต่อาจถือเป็นการต้อนรับ หรือ “ยอมรับ” ต่อสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกแบบใหม่” เอาเลยก็ว่าได้ โดยมี “วิกฤตยูเครน” นี่แหละ ที่เป็นตัวลั่นไก หรือเป็นตัวเร่งให้สิ่งที่ว่าอุบัติขึ้นมาต่อสายตาชาวโลกอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว!!! นี่...จริง-ไม่จริง น่าคิด-น่าเชื่อหรือไม่? ประการใด? ก็คงต้องลองเก็บไปคิดๆ นึกๆ กันเอาเองก็แล้วกัน...
หรืออย่างที่ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งสถาบันการวิจัยด้านยุทธศาสตร์และคาดการณ์ (The Institute for Strategic Research and Forecast) มหาวิทยาลัย “RUND University” อย่าง “นายAlexander Bobrov” เขาได้สรุปรวบยอดถึงแก่นสาระหรือ “เนื้อหา” ในการพบปะระหว่าง 2 ผู้นำโลกคราวนี้นั่นแหละว่า น่าจะถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นว่าทั้งผู้นำรัสเซียและผู้นำอเมริกา ต่างพร้อมที่จะ “เรียนรู้” ในอันที่จะทำให้ข้อขัดแย้งและความแตกต่างทั้งหลาย ที่เคยนำมาซึ่งภาวะที่เรียกๆ กันว่า “Cold War” หรือ “สงครามเย็น” ซึ่งยังไม่ถึงกับสิ้นสุดยุติลงไปได้โดยเด็ดขาด แม้ว่าสงครามดังกล่าวจะหมดสภาพลงไปแล้ว กำลังค่อยๆ แปรสภาพ เปลี่ยนสภาพ ไปเป็น “Cold Peace” หรือ “สันติภาพเย็นๆ” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
จริง-ไม่จริง...ก็แล้วแต่จะคิด แต่ที่แน่ๆ ก็คือผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ถึงกับต้องออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวสถานีวิทยุ อย่าง “Mark Levin” เอาไว้เมื่อวันพุธที่แล้ว (20 ส.ค.) ว่า...นับแต่นี้โลกทั้งโลกไม่จำเป็นต้องหวาดวิตกต่อสิ่งที่เรียกว่า “สงครามโลกครั้งที่ 3” ที่อาจเกิดจากการยกระดับสถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครนอีกต่อไปแล้ว เพราะความขัดแย้งกับรัสเซียที่เคยขึ้นสู่จุดสูงสุดในยุคอดีตประธานาธิบดีอเมริกา “โจ ซึมเซา” ได้ถูกขจัดกวาดล้างไปด้วยฝีมือ “ว่าที่ผู้รับรางวัลโนเบล ไพรซ์” อย่าง “ตัวกูเอง” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว ส่วนความขัดแย้งระหว่างผู้ที่คิดจะเสนอชื่อตัวเองให้ได้รับรางวัลโนเบล สันติภาพ อย่าง “ฮวยเซ็ง” ผู้นำกัมพูชา กับคุณพี่ “โทนี่” แห่งประเทศไทย อันนั้น...คงต้องถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือเป็นเรื่อง “หมูกัดกัน...แต่เสือคาบไปแดก” อย่างที่คุณพี่ “แอ่น-มงคล วุฒิสิงห์ชัย” โพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กตัวเอง หรือไม่? ประการใด? คงต้องเก็บไปคิดกันเอาเอง...
อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่ได้หยิบมาพูดถึง หรือเพราะอาจ “คาดไม่ถึง” หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ นั่นก็คือ...การอาศัย “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” หรือ “มาตรการทางภาษี” กดดันบีบบังคับบรรดาประเทศที่ค้าๆ-ขายๆ กับรัสเซีย ให้ต้องยอมหันมา“เลือกข้าง” อเมริกาให้จงได้!!! แต่ไปๆ-มาๆ...สากกะเบือด้ามดังกล่าวกำลังจะทำให้ผู้ที่อเมริกาหวังจะฉุดกระชากลากถูมาช่วย “ปิดล้อมจีน” ในแผน “ยุทธศาสตร์เอเชีย-แปซิฟิก” จนถึงกับยอมเปลี่ยนชื่อเป็น “อินโด-แปซิฟิก” เพื่อเอาใจอินตะระเดียก่อนหน้านี้ ดูๆ กลับจะยิ่งกลายเป็น “ตัวเร่ง” ให้สิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกแบบใหม่” ยิ่งสามารถก้าวเดิน ย่างก้าวบน “พรมแดง” ได้ยิ่งถนัดตีน ถนัดเท้า ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
หรือทำให้คุณปู่อินตะระเดีย...ที่เคยพล็อบๆ แพล็บๆ “อีนี่...โร้ยย์ย์ย์ละยี่สิบนะนายจ๋า” มาโดยตลอด แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศ “BRICS” หรือกลุ่มประเทศ “SCO” (Shanghai Cooperation Organization) ก็แล้วแต่ กลับต้องเร่งหันมาแสดงความร่วมมือ ร่วมไม้ ร่วมแรง ร่วมใจ ในการสร้าง “ระเบียบโลกแบบใหม่” ขึ้นมาให้ทันท่วงทีก่อนที่ “มาตรการทางภาษี” ของ “ทรัมป์บ้า” จะนำมาซึ่งความพินาศ ฉิบหายให้กับเศรษฐกิจอินเดีย โดยไม่เหลือทางเลือก ทางออก-ทางไปใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย การเดินทางไปพบปะกับผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” แบบตัวเป็นๆ ของนายกรัฐมนตรีอินเดีย “นายNarendra Modi” ในระหว่างการประชุม “SCO” ช่วงวันที่ 31 ส.ค.ได้ถูกกำหนดไว้แล้วอย่างเป็นทางการ ขณะที่ช่วงสิ้นปีนี้รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ก็ได้ออกมาประกาศไว้แล้วว่า ได้เวลาที่ผู้นำรัสเซียไปเยือนอินเดียอย่างเป็นทางการ อันสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือ ร่วมใจของบรรดา “ประเทศซีกโลกใต้” หรือบรรดาประเทศที่หวังและต้องการ ที่จะแปรสภาพโลกทั้งโลกให้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” พร้อมกับนำเสนอ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ให้เข้ามาแทนที่ระเบียบโลกแบบเดิมๆ ซึ่ง “ประเทศซีกโลกเหนือ” เคยเป็นผู้เขียน ผู้กำหนดมาตรฐานเอาไว้โดยตลอด...
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้สิ่งที่นักคิดชาวรัสเซีย อย่าง “นายSergey Poletaev” สรุปเอาไว้ถึงการพบปะระหว่าง 2 ผู้นำโลก ที่เมือง “Anchorage” เมื่อไม่กี่วันมานี้ ว่าเป็นการ “ปูพรมแดงต้อนรับระเบียบโลกแบบใหม่” ไม่ใช่แค่การปูพรมแดงต้อนรับผู้นำรัสเซียโดยลำพัง จึงเป็นอะไรที่ออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย และนั่นก็น่าจะเป็นตัวชี้ทิศ ชี้ทางชี้ให้เห็นถึง “ความเป็นไปของโลก” ภายในอนาคตเบื้องหน้า ว่าอีกไม่น่าจะไกลเกินไปนับจากนี้ ว่าโลกใบนี้กำลังจะกลาย “โลกหลายขั้วอำนาจ” อย่างมิอาจหวนกลับคืนไปสู่สภาพเดิมๆ ได้อีกต่อไป!!!