อินเดีย-ปากีสถาน...เลิกคิดถล่มกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ อันเนื่องมาจาก “บารมี” ของนักสันติภาพอย่าง “ทรัมป์บ้า” หรือไม่? ประการใด? อันนี้...คงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านกันสัก 8 รอบ 9 รอบแล้วกันนะนายจ๋า!!! เพราะอันที่จริงแล้ว...ทั้งสองประเทศที่ว่า ก็ไม่น่าจะถึงกับเต็มไปด้วยพวก “สติแตก”มากมายสักเท่าไหร่ นอกจากต่างเคยเห็นดีเห็นงาม ในการโดดเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรของกลุ่มประเทศ “โลกใต้” หรือ “SCO” (Shanghai Cooperation Organization) ภายใต้การนำของคุณพี่จีนในช่วงเวลาเดียวกันเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โดยไม่ถึงกับคิดว่าฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดเป็น “ศัตรู” ที่มิอาจอยู่ร่วมโลกด้วยกันได้...
อีกทั้งการแสดงออกถึงการ “ยอมรับความผิดพลาด” ของรัฐมนตรีกลาโหมปากีสถาน “นายKhawaja Asif” ที่ดันไปช่วยคุณพ่ออเมริกาและประเทศตะวันตกอย่างอังกฤษ “ทำงานสกปรก” ด้วยการสนับสนุน“ผู้ก่อการร้าย” ให้สู้กับโซเวียตรัสเซียในอัฟกานิสถาน เมื่อ 3 ทศวรรษที่แล้ว จนกลายเป็น“เงื่อนไข-เหตุปัจจัย” ของการก่อการร้ายๆ ณ ดินแดน “Kashmir” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ชนิดเกือบบานปลาย ปลายบาน หวิดกลายเป็น “สงครามนิวเคลียร์” ไปจนได้ สิ่งเหล่านี้...น่าจะสะท้อนให้เห็นถึง “สติ-สัมปชัญญะ” ของประเทศทั้งสอง มากกว่าการหันไป “Kiss Ass” ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ออกมาอ้างอำนาจ บารมีไม่ว่าทางการเมืองหรือการค้าก็แล้วแต่ ในการช่วยกอบกู้โลกไม่ให้เกิดสงครามนิวเคลียร์เพราะ “ความยิ่งใหญ่” ใดๆ ก็ตามที...
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” จะมีส่วนมากหรือน้อย ในการช่วยโอ้โลม ปฏิโลม คราวนี้ ย่อมต้องถือเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่น่ายกย่อง สรรเสริญ ไปตามมี-ตามเกิด แต่ที่อาจมี “น้ำหนัก”ให้ต้องยกย่อง สรรเสริญ ยิ่งไปกว่านี้อีกหลายต่อหลายเท่า ก็น่าจะขึ้นอยู่กับ “ข่าวล่า-ข่าวลือ” ที่ยังไม่ถึงกับรู้หมู่-รู้จ่า ว่าจะเป็น“Fake News-F**k News” หรือ “Fact News” กันแน่??? นั่นก็คือ “ข่าวลือ” ว่าด้วยเรื่อง “ทรัมป์บ้า” คิดจะ “ประกาศรับรองความเป็นรัฐปาเลสไตน์” ในช่วงระหว่างที่กำลังเดินทางมาเยือน 3 ประเทศในตะวันออกกลาง คือซาอุดีอาระเบีย กาตาร์ และยูเออี ในช่วงวันที่ 13-16 พ.ค.นี้ อันแทบไม่ต่างไปจากข้อความพาดหัวข่าวของสำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮานั่นแหละ นั่นคือแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “เทอิสราเอล” กันเห็นๆ!!!
อันเนื่องมาจาก...ช่วงที่ “ทรัมป์บ้า” ได้เจอกับผู้นำแคนาดา “นายMark Carnet” เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้นำอเมริการายนี้ได้พยายามสร้างความ “เซอร์ไพรส์” ให้กับบรรดากระจอกข่าวทั้งหลาย ด้วยคำพูด คำจา แบบสองแง่-สองง่ามทำนองว่าให้รีบไปช้อนซื้อหุ้นกันให้เยอะๆ เข้าไว้ เพราะอเมริกากำลังจะป่าวประกาศสิ่งที่ยิ่งใหญ่ระดับ “a very, very big announcement”ในอีก 2 สัปดาห์ข้างหน้า หรือระหว่างที่กำลังเดินทางไปเยือนตะวันออกกลาง อันเป็นอะไรที่เผอิญไปสอดคล้องกับ “รายงานข่าว” ของสำนักข่าว “Media Line” ที่อ้าง “แหล่งข่าว” ระดับสูงทั้งในอเมริกา ตะวันออกกลางและอื่นๆ ว่าสิ่งที่ “ทรัมป์บ้า”คิดจะประกาศ ก็คือ “การรับรองรัฐปาเลสไตน์” หรือการยอมรับว่าการหาทางออก-ทางไปให้เกิด “สันติภาพในตะวันออกกลาง” ย่อมหนีไม่พ้นไปจากสิ่งที่เรียกๆ กันว่า “The Two State Solution” ที่บรรดาประเทศต่างๆ แทบจะทั่วทั้งโลก หรือ 147 ประเทศ ต่างยอมรับความเป็นรัฐปาเลสไตน์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่อเมริกา อิสราเอล และบรรดาชาติตะวันทั้งหลายเท่านั้นเอง...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้เกิดอาการ “ป่วน” ไปทั่วทั้งอิสราเอล โดยเฉพาะเมื่อหนังสือพิมพ์ “Jerusalem Post” ได้นำเอา“รายงานข่าว” ของ “Media Line” มาอ้างอิงชนิดเป็นตุเป็นตะถึงขั้นที่ทูตอเมริกาประจำอิสราเอล อย่าง “นายMike Huckabee” ต้องออกมาอบรมหนังสือพิมพ์ “Jerusalem Post”ว่าไม่ควรไปหยิบเอา “Fake News” มาอ้างอิงให้เสียเกรด เสียเครดิตของตัวเอง ไปจนถึงโฆษกทำเนียบขาว อย่าง“นางKaroline Leavitt” หรืออดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” “นางRuthie Blum” ต่างก็ออกมาประสานเสียงคอรัส-รัดคอว่าถือเป็น “ข่าวปลอม” หรือ “ข่าวหลอก” ไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แต่ก็อย่างว่า...ขึ้นชื่อว่า “ทรัมป์บ้า” แล้ว ไม่เพียงถือเป็นผู้ที่ไม่ว่าใครย่อมมิอาจคาดเดาได้เลย แต่แม้กระทั่งตัวของตัวเองก็ยังน่าจะเดาตัวเองแทบไม่ได้ เพราะวันนี้พูดอย่าง-พรุ่งนี้พูดอีกอย่างจนแทบติดเป็นนิสัย จากที่เคยขึ้นภาษีสินค้าจีนไปถึง 140 กว่าเปอร์เซ็นต์ แต่วันนี้ลดเหลือแค่ 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเองจากที่เคยไล่ผู้อพยพเข้าอเมริกาเหมือนหมู เหมือนหมา แต่วันนี้หันไปจูงมือผู้อพยพจากแอฟริกาใต้เข้ามาอยู่ในอเมริกาซะเฉยเลย ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่เลยทำให้ “ข่าวล่า-ข่าวลือ” เรื่องการคิดจะประกาศรับรอง “รัฐปาเลสไตน์” จึงเป็นสิ่งที่ถูกนำมาพูดจาวิเคราะห์ วิจารณ์ ชนิดยังไม่แล้วเสร็จจนตราบเท่าทุกวันนี้...
โดยเฉพาะเมื่อการตระเวนทัวร์ประเทศรวยๆ ในตะวันออกกลางของ “ทรัมป์บ้า” คราวนี้ ดูค่อนข้างหนักไปทางคิดจะ “หาตังค์” เป็นหลัก ไม่ว่าการหนีบเอาซีอีโอของบริษัทผลิตเฮลิคอปเตอร์ “Black Hawk” “นายPaul Lemmo” และซีอีโอบริษัท “Boeing” “นายKelly Ortberg” ฯลฯ ติดคณะมาด้วย เพื่อหวังจะขายเครื่องบินรุ่นต่างๆ โดยเฉพาะเครื่องบินโจมตี “F-15 EX” ให้กับเศรษฐีในกลุ่มประเทศอ่าวทั้งหลายรวมทั้งโครงการลงทุนด้านพลังงานนิวเคลียร์การท่องเที่ยว เศรษฐกิจดิจิทัล ฯลฯ อันจะเป็นแรงกระตุ้นให้บรรดากลุ่มประเทศอ่าว ซึ่งต่างเคยสัญญิงสัญญา ว่าจะเข้าไปลงทุนในอเมริกา เช่นยูเออีที่จะเข้าไปลงทุนเป็นมูลค่าถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซาอุดีอาระเบียอีก 400,000-600,000 ล้านดอลลาร์ ฯลฯ เกิดแรงจูงใจในการช่วยกอบกู้เศรษฐกิจอเมริกา การสร้างบรรยากาศให้สอดคล้องกับการหาเงิน-หาทองเช่นนี้ จึงมีแต่ต้องอาศัย “สันติภาพ” นั่นแหละเป็น “จุดขาย” โดยอะไรที่จะนำมาซึ่ง “สงคราม” แม้แต่กับพวกนักรบจนๆ อย่างพวก “Houthi”ก็ตาม ยังหนีไม่พ้นต้องลด-ละ-เลิก ไปโดยปริยาย...
ดังนั้น...ถ้าหากผู้นำอเมริกาคิดประกาศรับรองรัฐปาเลสไตน์ขึ้นมาจริงๆ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่าเป็นอะไรที่ “very big” และ “very positive” อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” ได้พูดเป็นนัยๆ ไว้จริงๆ นั่นแหละ เพราะแม้แต่อภิมหาเศรษฐีน้ำมันซาอุฯ ที่เคยชักเข้า-ชักออก ต่อแนวทางสันติภาพของอเมริกาในตะวันออกกลางที่เรียกๆ กันว่า “The Abraham Accords” ในอันที่จะหาทางทำให้พันธมิตรอเมริกาอย่างอิสราเอล สามารถอยู่ร่วมกับบรรดาประเทศโลกอาหรับทั้งหลายได้โดยสันติ หรือเกิดสัมพันธภาพกันโดยปกติ แต่ก็ยังมิอาจ “ทำใจ” ได้เลย เมื่อต้องเจอกับความเหี้ยมโหดอำมหิตของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อเมริกาอย่างอิสราเอล ไม่ว่าในกรณีการ“ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ในเขตฉนวนกาซา หรือการไม่ยอมรับความเป็น “รัฐปาเลสไตน์” แบบหัวเด็ด-ตีนขาด นั่นเอง...
บรรดานักวิเคราะห์วิจารณ์ในอิสราเอลที่มองว่าแนวคิดที่จะทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ถือเป็นแนวคิดแบบ “Neo-Isolationist” หรือพวกคิดจะโดดเดี่ยวตัวเองแบบ “เอาตัวรอด” เข้าไว้ก่อนอะไรทำนองนั้น เลยถึงกับต้องนำเอา “ความแตกต่าง” ระหว่างผู้นำอเมริกากับผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายBenjamin Netanyahu” มาไล่เรียงเอาไว้เป็นข้อๆ เช่น ในขณะที่ “ทรัมป์บ้า” ต้องการใช้การเจรจากดดันโครงการนิวเคลียร์อิหร่าน แต่ “Netanyahu” กลับต้องการถล่มให้รู้แล้ว รู้แรด หรือขณะที่ “Netanyahu” ต้องการบุกยึดเขตฉนวนกาซาอย่างเป็นการถาวร หรือยึดเป็นเขตทหารถึง 70 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว ถ้าว่ากันตามรายงานเจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ (OCHA) แต่ “ทรัมป์บ้า” กลับต้องการหยุดยิงให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว โดยเฉพาะเมื่อพวก “Hamas” พร้อมที่จะปลดปล่อยตัวประกันอย่างทหารอิสราเอลที่มีสัญชาติอเมริกัน “นายEdan Alexander” รวมทั้งอยากเห็นดินแดนแห่งนี้กลายสภาพเป็น “Riviera of the Middle East” หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่...
ยิ่งเมื่อ “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจเลิกรบกับพวก “Houthi”ปล่อยให้ดวลจรวดกับอิสราเอลไปโดยลำพัง หรือตัดสินใจสั่งให้เครื่องบินทิ้งระเบิด “B-2 Spirit Stealth Bomber” บินกลับจากฐานทัพ “Diego Gracia” ไม่ต้องเสียเวลาเตรียมรอถล่มโครงการนิวเคลียร์อิหร่านอีกต่อไปแล้ว อันนี้...ถ้าว่ากันตามรายงานขององค์กรข่าวกรอง “OSINT” (Open Source Intelligence) ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ “ข่าวลือ-ข่าวลวง” เรื่องการประกาศรับรองปาเลสไตน์ของอเมริกา จึงยังกลายเป็นสิ่งที่พูดจากันยังไม่แล้วเสร็จ ยัง “เดาไม่ออก” ว่า“ทรัมป์บ้า” จะเอาไงกันแน่!!!จะจำแลงแปลงกายเป็น “นักสันติภาพ” หรือจะเพิ่มระดับความบ้าให้กลายเป็นพวก “บ้าสงคราม” ไปจนได้ชนิดถึงกับทำให้สื่ออิสราเอลอย่าง “Jerusalem Post” ต้องร่ายเรียงบทบรรณาธิการว่าด้วยเรื่อง “History will judge Netanyahu and Trump on whether they can keep US-Israel ties ironclad” หรือต้องปล่อยให้ “ประวัติศาสตร์” เป็นตัววัดตัดสิน ว่าระหว่างความบ้าของอเมริกากับอิสราเอลจะยังคงแข็งแกร่งไปถึงขั้นไหน???
สรุปรวมความแล้ว...การที่ “ทรัมป์บ้า” เป็นอะไรที่ “คาดเดาแทบไม่ได้” ก็อาจมี “ประโยชน์” อยู่ไม่น้อย อย่างน้อยก็พอช่วยให้บรรดาพวกนักเล่นหุ้น เล่นทอง หรือ “นักเก็งกำไร” ทั้งหลาย ไม่ถึงกับต้องนอนเอาตีนก่ายหน้าผากไปโดยตลอด ยังมีโอกาส “ช้อนซื้อ” และ “เทขาย” ไปตามความบ้าของ “ทรัมป์บ้า” ไปเป็นระยะ ส่วนใครจะตาดีได้-ตาร้ายเสีย คงต้องขึ้นอยู่กับความผันผวนทาง “อารมณ์” ของผู้นำอเมริการายนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่ข้อมูล สถิติ กราฟและดัชนีใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้...จึงยังคงต้องท่องจำสูตรการลงทุนทั้งหลายเอาไว้ให้จงหนัก โดยเฉพาะที่ว่าไว้ว่า “การลงทุนมีความเสี่ยง...ควรศึกษาค้นคว้าข้อมูล (เดาอารมณ์ผู้นำอเมริกา) ก่อนลงทุน” นี่...จริง-ไม่จริงไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน...