xs
xsm
sm
md
lg

‘ทรัมป์’ขึ้นภาษีศุลกากรอย่างโหดกับอินเดีย ทำเอา‘โมดี’โกรธและหันไปหา‘จีน’

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: วิลเลียม เพเซค


โดนัลด์ ทรัมป์ กับ นเรนทรา โมดี มีความคิดเห็นไปกันคนละทางในเรื่องเกี่ยวกับการค้า
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ https://asiatimes.com/2025/08/trumps-tariff-rage-pushes-a-miffed-modi-toward-china/)

Trump’s tariff rage pushes a miffed Modi toward China
by William Pesek
08/08/2025

นายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย แสดงอาการหยาม ทรัมป์ ด้วยการเดินทางไปเยือนจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี ส่อแสดงนัยของการปรับเปลี่ยนทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จะมีความหมายความสำคัญอย่างมหาศาล

เมื่อพูดถึงการยั่วยุชวนทะเลาะในทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังฮือฮามาแรงในเวลานี้ เรื่องที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ตัดสินใจอย่างฉับพลันที่จะเดินทางไปเยือนจีนเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปีต้องถือเป็นเรื่องระดับแถวหน้าเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน

ไม่มีใครสามารถที่จะละเลยหลงลืม โดนัลด์ ทรัมป์ คนนั้นได้หรอก สำหรับการที่ผู้นำแดนภารตะเร่งรีบพาตัวเองเข้าสู่โหมดภาวะฉุกเฉินทางเศรษฐกิจเช่นนี้ ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจาก ทรัมป์ ประกาศจัดเก็บภาษีศุลกากรในอัตรา 50% เอากับสินค้าเข้าอินเดีย โดยที่แดนภารตะถือเป็นสมาชิกกลุ่มบริกส์ (BRICS กลุ่มประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาขนาดใหญ่ ที่มี 5 ชาติ ได้แก่ บราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน, และแอฟริกาใต้ เป็นแกนนำ) รายที่ 2 แล้วซึ่งได้รับบาดเจ็บจากการถูกสหรัฐฯเล่นงานลงโทษอย่างแรงถึงขนาดนี้

รายแรกเลย ได้แก่ บราซิล ซึ่งถูกประมุขทำเนียบขาวตั้งข้อกล่าวหา สืบเนื่องจากควบคุมตัวอดีตประธานาธิบดีฌาอีร์ โบลโซนาโร เพื่อนสนิทรู้ใจของทรัมป์ เพื่อไล่เรียงเอาผิดโทษฐานพยายามก่อรัฐประหารยึดอำนาจในปี 2022 ภายหลังตัวเองพ่ายแพ้การเลือกตั้ง นอกจากนั้นแล้วยังมี แอฟริกาใต้ ซึ่งกำลังถูกซัดเอาอย่างเจ็บๆ เหมือนกันจากภาษีทรัมป์ในอัตรา 30% ถือเป็นระดับสูงที่สุดซึ่งวอชิงตันเรียกเก็บจากบรรดาประเทศที่อยู่ในภูมิภาคซับซาฮาราของทวีปแอฟริกาทั้งหลาย โดยที่ชาติอื่นๆ อย่าง ไนจีเรีย, กานา, เลโซโท, และซิมบับเว ล้วนแต่เจอสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีศุลกากรหนักหนาพอประมาณแค่อัตรา 15% กันทั้งนั้น

มาถึงตอนนี้ เมื่ออินเดียเผชิญกับการถูกเรียกเก็บภาษีศุลกากรอย่างสาหัสอัตรา 50% แบบนี้ โมดีจึงกำลังเลือกที่จะบินไปปักกิ่งแทนที่จะเป็นวอชิงตัน ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีอินเดียวางแผนการเข้าร่วมการประชุมขององค์การความร่วมมือแห่งเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization หรือ SCO) ที่ทั้งอินเดียและจีน ตลอดจนรัสเซียและอีกหลายประเทศในเอเชียกลางและเอเชียใต้เป็นสมาชิกอยู่ ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 31 สิงหาคมนี้

แน่นอนล่ะ เราทราบกันอยู่แล้วว่า ทรัมป์ยังกำลังข่มขู่ที่จะเพิ่มภาษีศุลกากรขึ้นอีก 10% เอากับสินค้าเข้าจากพวกชาติสมาชิกกลุ่มบริกส์ทั้งหมด ทั้งนี้นอกจากเหตุผลประการอื่นๆ แล้ว เขาแสดงความรำคาญด้วยว่า พวกสมาชิกบริกส์กำลังหาหนทางที่จะเข้าแทนที่เงินดอลลาร์ ในการเป็นสกุลเงินสำรองของโลก เขากล่าวหากลุ่มความร่วมมือกลุ่มนี้ว่า “กำลังจัดแถวรวมกำลังกันด้วยพวกนโยบายที่มุ่งต่อต้านอเมริกัน”

สำหรับระบบเศรษฐกิจของอินเดียที่อยู่ใต้การดูแลของ โมดี ซึ่งเดิมทีก็อยู่ในสภาพที่ขาดไร้ความสมดุลอยู่แล้ว พวกทีมนักเศรษฐกิจของ โนมูระ โฮลดิ้งส์ (Nomura Holdings) ลงความเห็นว่า เมื่อเจอภาษีศุลกากรอัตรา 50% เข้าไปเช่นนี้ โดยเนื้อหาสาระแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่สหรัฐฯใช้มาตรการ “ห้ามค้าขาย” ปิดตายไม่ให้สินค้าอินเดียเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯนั่นเอง ทั้งๆ ที่ แดนภารตะได้ชื่อว่าเป็นประเทศประชาธิปไตยขนาดใหญ่ที่สุดของโลก อีกทั้งวางตัวเป็นผู้คานอำนาจที่สำคัญยิ่งยวดมาอย่างยาวนาน ในการทัดทานต่อต้านความทะเยอทะยานในระดับภูมิภาคของจีน แล้วที่แปลกประหลาดมากอีกอย่างหนึ่งก็คือ การทะเลาะเบาะแว้งระหว่างวอชิงตันกับนิวเดลีครั้งนี้ ยังมีต้นตอเนื่องมาจากรัสเซีย ประเทศซึ่งเป็นที่ทราบกันมานมนานว่าทรัมป์มีความสนิทสนมชิดเชื้อ จวบจนกระทั่งในระยะหลังๆ มานี้เท่านั้นจึงได้แปรเปลี่ยนไป

เมื่อทรัมป์ เพิ่งตระหนักถึงความเป็นจริงว่า วลาดิมีร์ ปูติน กำลังหลอกต้มทำเนียบขาวของเขา ประธานาธิบดีสหรัฐฯผู้นี้จึงหันมาเล่นงานมอสโก อย่างน้อยที่สุดก็ในช่วงขณะนี้ สำหรับตอนนี้ ทรัมป์และโลกของเขากำลังมุ่งแก้เผ็ดเอาคืนอินเดียโทษฐานช่วยเหลือตนเองในการซื้อหาน้ำมันรัสเซียราคาถูกมากที่ถูกฝ่ายตะวันตกแซงก์ชั่น และลำเลียงมาในเรือบรรทุกน้ำมันลำยักษ์ลำแล้วลำเล่า ประมาณกันว่า นับจนถึงตอนนี้ อินเดียซื้อน้ำมันจากมอสโกเป็นมูลค่าถึงราวๆ 275,000 ดอลลาร์ต่อปี

“ถ้าหากภาษีศุลกากรอัตราเพิ่มเติม 25% ที่ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจัดเก็บจากสินค้านำเข้าอินเดีย ยังคงไม่ถูกยกเลิกแล้ว เสน่ห์ดึงดูดของอินเดียในฐานะที่เป็นศูนย์อุตสาหกรรมการผลิตที่กำลังก้าวผงาดขึ้นมาเรื่อยๆ ก็จะถูกบ่อนทำลายเสียหายลงอย่างมหาศาล” เป็นความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ ชีลัน ชาห์ (Shilan Shah) แห่ง แคปิตอล อิโคโนมิกส์ (Capital Economics) นักเศรษฐศาสตร์ผู้นี้กล่าวต่อไปด้วยว่า ภาษีที่รวมแล้วอยู่ในอัตรา 50% นี้ “ใหญ่เพียงพอที่จะสร้างผลกระทบอย่างสำคัญยิ่ง”

ด้วยเหตุนี้เอง อินเดีย ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 5 ของพื้นพิภพนี้ จึงกำลังตระเตรียมลู่ทางรับมือกับภาวะผันผวนที่กำลังจะมาถึง จุดสำคัญทีเดียวยังอยู่ตรงที่ว่าเวลานี้ระบบเศรษฐกิจของทรัมป์ยังมีฐานะเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของนิวเดลีอีกด้วย โดยในปี 2024 ที่ผ่านมา อินเดียส่งสินค้าเข้าไปยังสหรัฐฯคิดเป็นมูลค่า 87,400 ล้านดอลลาร์

บางภาคส่วนของระบบเศรษฐกิจของโมดีนั้น อยู่ในภาวะล่อแหลมจะถูกกระทบจากความกราดเกรี้ยวทางภาษีศุลกากรของทรัมป์ยิ่งกว่าภาคส่วนอื่นๆ

“ในแง่ของภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบนั้น เราคิดว่าพวกเครื่องเพชรพลอยและอัญมณี, เสื้อผ้า, สิ่งทอ, และเคมีภัณฑ์ต่างๆ คือพวกที่ต้องเจอผลกระทบจากภาษีศุลกากรสหรัฐฯหนักกว่าภาคส่วนอื่นๆ และอาจจะได้เห็นมาตรการสนับสนุนแบบกำหนดเป้าหมายชัดเจนจากทางรัฐบาล” เป็นความเห็นของ ตันวี คุปตะ ชะอิน (Tanvee Gupta Jain) นักเศรษฐศาสตร์ด้านอินเดียของแบงก์ ยูบีเอส

ทางด้าน ราชัต อะการ์วัต (Rajat Agarwal) นักยุทธศาสตร์การลงทุนที่แบงก์ โซซิเอเต เยเนรัล ให้ความเห็นว่า “ผลกระทบของภาษีศุลกากรเหล่านี้ที่มีต่อหลักทรัพย์ต่างๆ นั้น ที่สำคัญแล้วเป็นการป้อนเข้ามาโดยผ่านค่าเงินรูปีอินเดียที่อ่อนตัวลง และความเคลื่อนไหวขึ้นลงอย่างวูบวาบมากขึ้นของสกุลเงินตรานี้ ซึ่งต้องรับการไหลเข้ามาของต่างชาติในช่วงระยะสั้น”

การที่ ทรัมป์ กำลังหันมาเล่นงานอินเดียเช่นนี้ ในอนาคตข้างหน้าอาจจะกลายเป็นที่จดจำกันว่าคือช่วงขณะที่สงครามการค้าของทรัมป์ได้ออกทะเลไปไกลสุดกู่จากจุดประสงค์แท้จริงดั้งเดิม และในขณะที่ โมดี กับ สี จิ้นผิง แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในปักกิ่ง ผู้นำจีนน่าจะยิ่งมีแรงจูงใจเพิ่มมากขึ้นอีกในการบอกปฏิเสธไม่เอาด้วยกับข้อเสนอทำดีลการค้าระดับใหญ่โตมโหฬาร “แบบการต่อรองกันครั้งยิ่งใหญ่” กับ ทรัมป์

ไม่กี่สัปดาห์หลังจาก ทรัมป์ ทำดีลเรื่องภาษีศุลกากรกับญี่ปุ่นได้เสร็จสิ้น มันก็มาถึงคิวของสหภาพยุโรปและคนอื่นๆ ที่จะต้องเข้าสู่วัฏจักรแห่งข่าวสารในเรื่องที่ว่าพวกเขากับสหรัฐฯได้ตกลงอะไรบ้าง –และไม่ได้ตกลงอะไรบ้าง ทั้งนี้ นับตั้งแต่ที่มีการประกาศกันว่าสามารถทำข้อตกลงกับญี่ปุ่นได้เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมเป็นต้นมา ปรากฏว่าทั้งสองฝ่ายต่างพูดไม่ตรงกันเอาเสียเลย ในเรื่องระเบียบกฎเกณฑ์ของการบังคับเก็บภาษีศุลกากรอัตรา 15% จากสินค้าญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนรถยนต์

ริชาร์ แคตซ์ (Richard Katz) ซึ่งเป็นผู้จัดพิมพ์จดหมายข่าว “Japan Economy Watch” (จับตาเศรษฐกิจญี่ปุ่น) ชี้ว่า กำลังมีเสียงโอดครวญเต็มหูมาจากดีทรอยต์ โดยที่ 3 ยักษ์ใหญ่ยักษ์เล็กผู้ผลิตรถยนต์อเมริกัน ไม่ว่าจะเป็น ฟอร์ด, เจเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม), และ สเตลแลนติส ต่างบ่นพึมว่า ข้อตกลงที่ทรัมป์ไปโอเคไว้กับญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ทำให้พวกเขาตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

“พวกเขาต้องจ่ายภาษีศุลกากรอัตรา 25% สำหรับการนำเข้ารถยนต์จากแคนาดาและเม็กซิโก ขณะที่พวกรถยนต์และชิ้นส่วนอะไหล่ของญี่ปุ่นและยุโรปสามารถเข้าสหรัฐฯโดยเสียแค่ 15%” แต่ แคตซ์ แจกแจงว่าจริงๆ แล้ว ประเด็นนี้ออกจะสลับซับซ้อนอยู่ไม่ใช่น้อยเลย

สำหรับสินค้านำเข้าสหรัฐฯจากเม็กซิโกและแคนาดา ยกเว้นพวกรถยนต์แล้ว ภาษีศุลกากรที่คิดกับสินค้านำเข้าของแคนาดาและเม็กซิโก จะนำมาบังคับใช้เฉพาะกับพวกสินค้าที่ไม่เข้าหลักเกณฑ์ของกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ภายใต้ข้อตกลงการค้าสหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (US-Mexico-Canada Agreement หรือ USMCA) ทั้งนี้ แคตซ์ ชี้ว่า สินค้าที่เข้าข่ายสามารถนำเอากฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าตามข้อตกลง USMCA มาใช้ได้ แทบทั้งหมดเลยกำหนดเอาไว้ว่าจะต้องมีคอนเทนต์ที่มาจากอเมริกาเหนืออยู่ในราวๆ 75% ของผลิตภัณฑ์นั้นๆ

สำหรับพวกผลิตภัณฑ์ที่เข้าข่ายแล้ว เฉพาะคอนเทนต์ส่วนที่ไม่ได้มาจากอเมริกาเหนือเท่านั้น ที่จะถูกบังคับเก็บภาษีศุลกากร อย่างไรก็ดี เมื่อเป็นกรณีของผลิตภัณฑ์รถยนต์ ภาษีศุลกากรอัตรา 25% จะบังคับใช้กับคอนเทนต์ทั้งหมดที่ไม่ได้มาจากสหรัฐฯ ไม่ใช่บังคับใช้เฉพาะกับคอนเทนต์ที่อยู่นอก USMCA อย่างผลิตภัณฑ์ภาคส่วนอื่นๆ

ขณะเดียวกัน สำหรับข้อตกลงที่ทรัมป์ทำไว้กับสหภาพยุโรป เวลานี้พวกเจ้าหน้าที่อียูกำลังพยายามควบคุมจำกัดวงความเสียหาย จากการที่ไปยินยอมตกลงจะซื้อน้ำมันและก๊าซสหรัฐฯคิดเป็นมูลค่า 750,000 ล้านดอลลาร์ ตามที่ทรัมป์เรียกร้องต้องการให้ดำเนินการโดยรวดเร็ว เป็นต้นว่า อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานของคณะกรรมการยุโรป ที่เป็นองค์กรบริหารของอียู ออกมาพูดอย่างชัดเจนแล้วว่า อียูไม่สามารถบังคับพวกบริษัทเอกชนให้ยินยอมสวาปามพลังงานสหรัฐฯเพื่อปฏิบัติให้เป็นไปตามจุดหมายทางการเมืองได้

ย้อนกลับมาที่นิวเดลี โมดีนั้นกำลังปลอบขวัญย้ำความมั่นใจให้แก่บรรดาชาวนา ที่เป็นผู้มีสิทธิออกเสียงทางการเมืองกลุ่มสำคัญมาก ว่าเขาจะไม่ยอมขายพวกเขาให้แก่วอชิงตัน ระหว่างการปราศรัย ณ การประชุมของภาคการเกษตรในเมืองหลวงของอินเดียสัปดาห์ที่ผ่านา โมดี กล่าวว่า เขา “จะไม่มีวันยินยอมอ่อนข้อประนีประนอมในเรื่องผลประโยชน์ต่างๆ ของชาวนา, เจ้าของปศุสัตว์, และชาวประมง ผมทราบดีว่า โดยส่วนตัวแล้ว เมื่อผมทำเช่นนี้ ผมจะต้องจ่ายในราคาแพงลิบลิ่ว – แต่ผมก็พร้อมแล้วสำหรับเรื่องนี้”

พวกอุตสาหกรรมอื่นๆ ก็พากันแสดงความวิตกกังวลเช่นเดียวกัน สภาส่งเสริมการส่งออกเพชรพลอยและอัญมณี (Gem and Jewellery Export Promotion) ของอินเดีย ระบุว่า การขึ้นภาษีศุลกากรขึ้นไปมากขนาดนี้ของ ทรัมป์ เป็น “พัฒนาการที่ทำให้เกิดความวิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง” พร้อมกับระบุว่า “ความเคลื่อนไหวเช่นนี้ (ของสหรัฐฯ) จะก่อให้เกิดผลสะท้อนด้านลบอย่างกว้างไกลกับทั่วทั้งเศรษฐกิจของอินเดีย –ทำให้ห่วงโซ่อุปทานสำคัญยิ่งทั้งหลายเกิดการสะดุดติดขัด, ถ่วงรั้งการส่งออก, และคุกคามชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนนับหมื่นนับแสน เราขอร้องรัฐบาลให้ดำเนินการบรรเทาความเดือดร้อนในทันที”

อภิมหาเศรษฐี อานันท์ มหินทรา (Anand Mahindra) ประธานของมหินทรากรุ๊ป กลุ่มธุรกิจกว้างขวางใหญ่โตของอินเดีย กล่าวเตือนถึงความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจาก “กฎของผลพวงต่อเนื่องที่มิได้ตั้งใจ” พร้อมกับเรียกร้องให้ทีมโมดี “ปรับปรุงยกระดับครั้งมโหฬารในการเพิ่มความสะดวกง่ายดายให้แก่การทำธุรกิจ” เวลาเดียวกัน มหินทรา ก็เขียนเอาไว้บนสื่อสังคมว่า “เราไม่สามารถกล่าวโทษคนอื่นๆ สำหรับการที่พวกเขากำลังถือว่าชาติของพวกเขาต้องมาเป็นอันดับแรก แต่เราควที่จะเคลื่อนไหวเพื่อทำให้ชาติของพวกเราเองมีความยิ่งใหญ่กว่าที่เคยเป็นมา”

ไม่ใช่ว่าทุกๆ คนต่างแตกตื่นตระหนักกกับภาษีศุลกากรที่ทรัมป์จัดเก็บกับอินเดีย พวกนักเศรษฐศาสตร์ที่บาร์เคลย์ส เขียนเอาไว้ว่า มัน “น่าที่จะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างชนิดมองเห็นกันได้ยิ่งกว่านี้แก่อินเดีย ทว่าอย่างที่เราได้ชี้เอาไว้ก่อนหน้านี้ การที่เศรษฐกิจอินเดียค่อนข้างเน้นหนักอยู่ที่ภายในประเทศ สมควรที่สามารถจำกัดการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นมา”

กระนั้น บานี กัมภีร์ (Bani Gambhir) นักเศรษฐศาสตร์ของ มอร์แกน สแตนลีย์ บอกว่า หากภาษีศุลกากรของทรัมป์มีการนำมาบังคับใช้จริงๆ แล้ว มันก็น่าที่จะทำให้ธนาคารกลางของอินเดีย (Reserve Bank of India) ก้าวเข้ามาใช้ความพยายามให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นอัตราการเติบโต กัมภีร์ คาดหมายว่า แบงก์ชาติอินเดียจะประกาศลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งๆ ละ 0.25% --หลังจากที่ได้ลดลงมา 0.25% และเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็นำมาเป็นปัจจัยคิดคำนวณกันหมดแล้ว เวลาเดียวกัน ก็แทบเป็นการแน่นอนทีเดียวว่ารัฐบาลจะต้องหยุดพักความพยายามในการกระชับเพิ่มความเข้มงวดทางการคลัง ทั้งนี้เพื่อจะได้สนับสนุนอุปสงค์ภายในประเทศ

เป้าหมายของตัวทรัมป์เองในการบีบคั้นอินเดียครั้งนี้ ยังเป็นเรื่องของการเริ่มจับจ้องเล่นงานพวกสมาชิกกลุ่มบริกส์ เมื่อเดือนที่แล้ว กลุ่มนี้ได้พบปะหารือกันที่นครรีโอเดจาเนโร ของบราซิล เพื่อหารือกันเรื่องการเปลี่ยนเป้าหมายของพวกเขาเกี่ยวกับสกุลเงินตราที่จะขึ้นมาแข่งขันกับดอลลาร์ได้ ให้กลายเป็นความจริงขึ้นมา –รวมทั้งการเรียกร้องให้กลุ่มบริกส์ได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นกว่านี้อีกมากทั้งในกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และในธนาคารโลก แต่สิ่งเหล่านี้ดูแทบเป็นไปไม่ได้เลยถ้าหากอินเดียกับจีนยังคงขัดแย้งกันเอง

อย่างที่ ซาราห์ แทน (Sarah Tan) นักเศรษฐศาสตร์ของ มูดีส์ อะนาลิติกส์ (Moody’s Analytics) พูดเอาไว้ว่า “ด้วยการมีผู้ร่วมเตียงนอนที่เข้ากันไม่ได้ 2 ราย ซึ่งคือ จีนกับอินเดีย รวมอยู่ในขบวนแถวของพวกเขาด้วย มันจึงเป็นเรื่องลำบากสำหรับกลุ่มบริกส์ที่จะเปลี่ยนเป้าหมายของพวกเขาในการมีสกุลเงินตราที่สามารถแข่งขันกับดอลลาร์สหรัฐฯได้ให้กลายเป็นความจริงขึ้นมา แล้วทรัมป์ก็กำลังเพิ่มความกดดันขณะที่อยู่ห่างไกล ด้วยการสัญญาจะเพิ่มภาษีศุลกากรของสหรัฐฯเป็นพิเศษขึ้นมา 10% สำหรับเล่นงานบรรดาประเทศที่จัดแถวรวมกำลังกันด้วย นโยบายต่อต้านอเมริกันของกลุ่มบริกส์”

แต่เวลานี้ตัวทรัมป์เองกลับกลายเป็นผู้ที่กำลังผลักดันอินเดียกับจีนให้เข้าสู่อ้อมกอดของกันและกัน พลวัตจึงสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วในหนทางซึ่งอาจสร้างเซอร์ไพรซ์ให้แก่ทั้งวอชิงตันและแก่โลก
กำลังโหลดความคิดเห็น