xs
xsm
sm
md
lg

ยิ่งร้าวหนัก! ทรัมป์ย้ำรีดภาษีหนักอินเดียฐานซื้อน้ำมันรัสเซีย นิวเดลีลั่นพร้อมทำทุกทางปกป้องเศรษฐกิจชาติ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


(ภาพจากแฟ้ม) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ จับมืออย่างสนิทสนมกับนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี ของอินเดีย ซึ่งไปเยือนและเจรจาหารือกับเขาที่ทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน เมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์อเมริกา-อินเดียที่เคยสนิทสนมกันมาก โดยเฉพาะระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กับนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี กำลังเกิดการปีนเกลียวกันอย่างหนัก หลังสุดประมุขทำเนียบขาวขู่ซ้ำรีดภาษีสินค้าแดนภารตะเพิ่ม โทษฐานซื้อน้ำมันจากรัสเซีย และนิวเดลีโต้กลับว่า “ไม่ยุติธรรม” พร้อมประกาศทำทุกทางเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์บนโซเชียลมีเดียเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่า อินเดียไม่ได้แค่ซื้อน้ำมันจำนวนมากจากรัสเซียเท่านั้น แต่ยังเอาน้ำมันเหล่านั้นไปขายโกยกำไร โดยไม่สนใจว่า คนมากมายในยูเครนกำลังล้มตายจากเครื่องจักรสงครามของรัสเซีย

ทรัมป์สำทับว่า ด้วยเหตุนี้ตนจึงเตรียมขึ้นภาษีศุลกากรสินค้าอินเดียอีกระลอกใหญ่

ทั้งนี้ ทรัมป์ยังบอกว่า นับจากวันศุกร์นี้ (8 ส.ค.) จะบังคับใช้มาตรการแซงก์ชันใหม่กับรัสเซีย ตลอดจนถึงพวกประเทศที่ซื้อพลังงานจากรัสเซีย ยกเว้นมอสโกดำเนินการเพื่อยุติสงครามในยูเครน

อย่างไรก็ตาม จนถึงเวลานี้ ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่มีทีท่ายอมเปลี่ยนแปลงจุดยืนในการยุติศึกแม้ใกล้เส้นตายเข้ามาทุกที

ต่อมาในวันอังคาร (5 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอินเดียแถลงตอบโต้ว่า การพุ่งเป้าโจมตีอินเดียเช่นนี้เป็นเรื่องไม่มีเหตุผลและไม่เป็นธรรม และอินเดียจะดำเนินมาตรการทั้งหมดเพื่อปกป้องผลประโยชน์และความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติ

ขณะเดียวกัน ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แหล่งข่าวในรัฐบาลอินเดียสองคนเผยว่า อินเดียจะซื้อน้ำมันรัสเซียต่อไป แม้ทรัมป์ขู่รีดภาษีหนักขึ้นก็ตาม

อินเดียถูกตะวันตกกดดันให้ปลีกตัวจากรัสเซีย นับตั้งแต่ที่รัสเซียยกทัพบุกยูเครนเมื่อต้นปี 2022 กระนั้น นิวเดลียืนกรานปฏิเสธโดยอ้างอิงสัมพันธภาพยาวนานกับรัสเซียและความจำเป็นทางเศรษฐกิจของประเทศ

ปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ทรัมป์เพิ่งประกาศขึ้นภาษีศุลกากรตอบโต้กับสินค้าอินเดียในอัตรา 25% และเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่า ประเด็นทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นอุปสรรคในการเจรจาทำข้อตกลงการค้ากับอินเดีย

ทางด้าน ริชาร์ด รอสโซว์ หัวหน้าโครงการอินเดียของศูนย์เพื่อยุทธศาสตร์และการระหว่างประเทศศึกษา (CSIS) หน่วยงานคลังสมองชื่อดังในวอชิงตัน ชี้ว่า ความไม่แน่ไม่นอนของคณะบริหารทรัมป์ถือเป็นความท้าทายสำหรับนิวเดลี แต่หากอินเดียยังคงซื้อพลังงานและอาวุธจากรัสเซียต่อไป ก็จะนำมาซึ่งความท้าทายที่ใหญ่กว่า เนื่องจากอินเดียไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ในแต่ละเดือนอเมริกาจะทำอย่างไรกับรัสเซีย

ทั้งนี้ ในปัจจุบันอินเดียเป็นผู้ซื้อน้ำมันดิบที่ขนส่งทางทะเลจากรัสเซียรายใหญ่ที่สุด โดยช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้นำเข้าน้ำมันรัสเซียราว 1.75 ล้านบาร์เรลต่อวัน (บีพีดี) หรือเพิ่มขึ้น 1% จากปีที่แล้ว

ในเรื่องนี้ โฆษกของทางการอินเดียอธิบายว่า แดนภารตะเริ่มนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียมากขึ้น เนื่องจากซัปพลายจากแหล่งเดิมได้ถูกหันเหส่งไปให้ยุโรปหลังความขัดแย้งในยูเครนปะทุขึ้น พร้อมยืนยันว่าอินเดียถูกสถานการณ์ในตลาดโลกบีบบังคับ

โฆษกผู้นี้ยังตอบโต้ว่า หลายประเทศตะวันตกที่กำลังวิจารณ์อินเดียอยู่ เวลานี้กลับยังคงค้าขายกับรัสเซียตามใจชอบ โดยตั้งข้อสังเกตการค้าทวิภาคีระหว่างตะวันตก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหภาพยุโรปกับรัสเซีย

ไม่เพียงเรื่องน้ำมันและความสัมพันธ์กับรัสเซีย มีรายงานอีกว่า อินเดียยังไม่พอใจที่ทรัมป์ขยันอ้างความดีความชอบให้ตัวเอง สำหรับข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอินเดียกับปากีสถานหลังจาก 2 ประเทศเพื่อนบ้านซึ่งต่างฝ่ายต่างมีอาวุธนิวเคลียร์นี้เปิดศึกกันอยู่ 4 วันเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมา

ความเคลื่อนไหวเหล่านี้บ่อนทำลายมิตรภาพที่ดีระหว่างทรัมป์กับ โมดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทรัมป์เสนอตัว “หาทางออก” ให้กับข้อขัดแย้งกรณีแคชเมียร์ อันยาวนานเก่าแก่หลายสิบปี และก็เป็นต้นเหตุการณ์สู้รบล่าสุดระหว่างอินเดียกับปากีสถาน

ทั้งนี้ เนื่องจากโมดีประกาศตัวเป็นผู้นำที่ไม่มีวันอ่อนข้อให้ปากีสถาน พร้อมกันนี้เขายังทุ่มเทความพยายามทางการทูตเพื่อโดดเดี่ยวอิสลามาบัด ดังนั้น คำประกาศของทรัมป์จึงสร้างบาดแผลร้าวลึก และกระตุ้นให้อินเดียรู้สึกว่า อเมริกาอาจไม่ได้เป็นหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อีกต่อไป

ตลอดเวลาที่ผ่านมา อินเดียยืนกรานว่า แคชเมียร์เป็นปัญหาภายใน และคัดค้านการเข้าแทรกแซงของคนนอก สัปดาห์ที่แล้วหลังถูกฝ่ายค้านในประเทศซักไซ้ โมดีประกาศว่า ไม่ว่าประเทศใดในโลกก็ไม่สามารถหยุดยั้งการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถานได้ โดยไม่ได้ระบุชื่อทรัมป์โดยตรง

ขณะเดียวกัน ทรัมป์ยังดูมีท่าทีเป็นมิตรกับปากีสถานมากขึ้น ถึงขั้นยกย่องความพยายามในการต่อต้านการก่อการร้ายของอิสลามาบัด มิหนำซ้ำหลังประกาศมาตรการภาษีใหม่ต่ออินเดีย เขายังประกาศข้อตกลงสำรวจน้ำมันขนาดใหญ่กับปากีสถาน แถมบอกว่า วันหนึ่งอินเดียอาจต้องซื้อน้ำมันจากปากีสถาน และก่อนหน้านั้นทรัมป์ยังจัดเลี้ยงอาหารกลางวันเป็นการส่วนตัวแก่คณะนายทหารระดับสูงของปากีสถาน

ศรีราม ซันดาร์ โชเลีย ผู้เชี่ยวชาญของวิทยากิจการระหว่างประเทศจินดาล มหาวิทยาลัยจินดาลโกลบอล ในนิวเดลี ชี้ว่า ถ้าอเมริกาและปากีสถานทำข้อตกลงทางการเงินและพลังงานกันได้จริงๆ อย่างที่เป็นข่าว นี่จะเป็นการบ่อนทำลายการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างอเมริกากับอินเดีย และทำให้อินเดียสูญเสียความเชื่อมั่นที่มีต่ออเมริกา

(ที่มา: รอยเตอร์/เอพี)
กำลังโหลดความคิดเห็น