ในที่สุดผู้เฒ่าโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาก็ยอมรับความพ่ายแพ้สังขารของตัวเองในวัย 81 ปี ตัดสินใจถอนตัวจากการชิงเก้าอี้ผู้นำทำเนียบขาวสมัยที่ 2 กับ โดนัลด์ ทรัมป์
ผู้เฒ่าโจเอ๋อ คงรู้ตัวดีว่าสู้ต่อไปก็ไม่มีวันชนะ ซ้ำร้ายคนในพรรคการเมืองของตัวเอง ผู้สนับสนุนทางการเงิน และประชาชนก็เรียกร้องให้ถอนตัว หลังจากการดวลฝีปากกับคู่แข่งในรอบแรกถูกยำจนเละ
นั่นเป็นเหตุให้กับทุกฝ่ายที่สนับสนุนผู้เฒ่าไบเดนเตือนและขอร้อง รวมทั้งกดดันให้ถอนตัวเพราะหมดสภาพ แต่ผู้เฒ่าโจเอ๋อยังทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งอ้างว่าตัวเองเป็นผู้เดียวที่จะชนะทรัมป์ได้ทั้งที่ในช่วงติดโควิด-19
สุดท้ายก็ยอมประกาศถอนตัวและให้นางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีให้ลงสู้แทน ซึ่งก่อนได้รับเสียงสนับสนุนในช่วงแรกพอสมควร
แต่ผู้เฒ่าโจเอ๋อยังทำตัวแสบ ไม่ยอมทิ้งเก้าอี้ประธานาธิบดี อ้างว่าจะอยู่จนถึงวันที่มอบตำแหน่งให้กับผู้ชนะเลือกตั้งในวันที่ 10 มกราคมปีหน้า
ทำให้คนพรรครีพับลิกัน โดยเฉพาะประธานสภาผู้แทนราษฎร นายไมค์ จอห์นสัน ประกาศว่า โจ ไบเดนควรจะลาออกทันที เมื่อตัวเองไม่สามารถรณรงค์เป็นคู่ชิงได้ก็ไม่สมควรนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อไป
นายจอห์สัน ชี้ให้เห็นว่า เมื่อไม่มีร่างกายสมบูรณ์ในการสู้ศึกเลือกตั้งก็แสดงให้เห็น ความไม่พร้อมที่จะเป็นผู้นำประเทศ
แต่ความหวงก้างของโจ ไบเดน เพิกเฉยต่อเสียงเรียกร้อง จะขออยู่กับเก้าอี้ผู้นำประเทศจนวันสุดท้าย ใครจะพูดถากถางอย่างไรก็ไม่สน
ทรัมป์ ประกาศทันทีว่าการเอาชนะกมลา แฮร์ริส น่าจะง่ายกว่าสู้กับผู้เฒ่า โจ ไบเดนเยอะ ว่ากันง่ายๆ ก็คือทรัมป์ หวังว่าจะนอนมาง่ายๆ แต่ต้องมาเริ่มต้นเล่นงานคู่แข่งคนใหม่
สถานการณ์อย่างนี้เร็วเกินไปที่จะคาดการณ์ว่านางแฮร์ริสจะมีศักยภาพในการสู้กับ ทรัมป์หรือไม่ แต่อย่างน้อยก็มีเสียงสนับสนุนจากคนของพรรคเดโมแครต ทั้งเป็นสมาชิกสภาและนายทุนพรรค
ถ้าผู้เฒ่าโจเอ๋อไม่ทำตัวเป็นหมาหวงก้าง ยอมลงจากเก้าอี้ให้แฮร์ริสเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกสร้างประวัติศาสตร์ก็อาจจะเสริมบารมีให้สู้กับคู่แข่งได้
ทรัมป์ มีจุดอ่อนในคดีล่วงละเมิดทางเพศกับสตรีสองนาง คดียังอยู่ในศาลอีก 34 กระทง สะท้อนให้เห็นความเป็นคนไม่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นนักธุรกิจที่ไม่ตรงไปตรงมา
นางแฮร์ริส ไม่มีทางเลือกอื่นต้องสู้และหาทางได้เสียงสนับสนุนจากหลายแหล่ง นั่นคือจากผู้หญิง จากคนผิวสี ทางผิวดำ พวกละตินอเมริกา เอเชีย และคนขาวบางส่วนที่เป็นเดโมแครต เพราะคนไม่ชอบขี้หน้าทรัมป์ก็มีไม่น้อย
ถ้าทรัมป์หาเสียงถล่มในแนวบูลลี่ โจมตีนางแฮร์ริสอาจเสียคะแนนจากผู้หญิงเช่นกัน คนจีนในสหรัฐฯ ก็ไม่ชอบขี้หน้าทรัมป์ เพราะทำตัวเป็นศัตรูกับจีนอย่างเปิดเผย โดยเฉพาะการคว่ำบาตรและกำแพงภาษีสินค้า
ทรัมป์มองว่า จีนเป็นศัตรูอันดับหนึ่งต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ และจะขึ้นภาษีรถยนต์ไฟฟ้าร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งมาตรการกีดกันสินค้าจีนอื่นๆ ดังนั้นคนจีนในสหรัฐฯ คงไม่ต้องการให้ทรัมป์เป็นผู้นำ
ความเป็นผู้หญิงและคนผิวสีของนางแฮร์ริสก็เป็นจุดอ่อนได้เช่นกันในกลุ่มคนผิวขาว ที่ผ่านมา ผลงานไม่มีโดดเด่นซึ่งก็เป็นสภาวะปกติของรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ไม่ได้มีบทบาทและไม่มีการมอบหมายงานสำคัญให้ทำ
จากการที่เป็นวุฒิสมาชิกและพื้นฐานทางการเมืองมาก่อน ก็ถือว่าไม่ใช่จุดด้อยและเป็นรองประธานาธิบดีมานาน 4 ปี ฉะนั้นนางแฮร์ริสมีทั้งแต้มต่อและแต้มรองและดูแล้วยังมีโอกาสมากกว่าโจ ไบเดนเพราะหมดสภาพ ลีลาการพูดจาของนางแฮร์ริส ก็ไม่ธรรมดา
นี่ถือว่าเป็นสภาวะพลิกผัน เปลี่ยนม้ากลางศึกของพรรคเดโมแครต เพราะไม่มีทางเลือกอื่น กว่าจะดันโจ ไบเดนให้ออกนอกเวทีได้ก็ต้องใช้เวลานาน แถมยังมาเป็นจระเข้ขวางคลองไม่ยอมลงจากตำแหน่งผู้นำทำเนียบขาว
หมายความว่าจะต้องรักษาความเอ๋อไว้จนนาทีสุดท้าย และตกจากเวทีประวัติศาสตร์ในฐานะที่เป็นผู้นำอายุมากที่สุด ดื้อรั้นที่สุด และมือเปื้อนเลือดไม่น้อยจากการที่อยู่ในตำแหน่งการเมืองตั้งแต่สมาชิกสภาและวุฒิสภา
โจ ไบเดนก็จะเป็นคนในประวัติศาสตร์การเมืองอเมริกันที่ทรัมป์ พูดย้ำเสมอด้วยน้ำเสียงเหยียดหยามว่าเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่เลวร้ายที่สุดในด้านประสิทธิภาพโดยมีความเอ๋อเป็นที่ประจักษ์
มาดูกันว่าการเมืองอเมริกันจะมีชีวิตชีวามากกว่าที่เป็นอยู่แค่ไหน เมื่อนางแฮร์ริสต้องสู้กับเสือเฒ่าวัย 78 ปีที่ปากร้ายและมีแผลรอบตัว
เป็นการพิสูจน์ว่าคนอเมริกัน ซึ่งมีความหลากหลายด้านผิวสีและเชื้อชาติจะเลือกใครเป็นผู้นำประเทศ