ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องหนีไม่พ้นต้องวกกลับไปดู “แนวรบตะวันออกกลาง” กันอีกรอบ เพราะด้วยความโหด ความเหี้ยมของกองทัพอิสราเอล ที่ยิ่งนับวันยิ่งออกอาการ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ชนิด “ม.ม้า” วิ่งไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทัน ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความโศกเศร้าเคล้าน้ำตา น่าสลดหดหู่ น่าอเนจอนาถเวทนายิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดแนวคิด มุมมองที่อาจกลายเป็น “คำถาม” ตัวโตๆ ต่อฉากสถานการณ์ความเป็นไปในอนาคตเบื้องหน้า หรือต่อ “มุมจบ” ของเหตุการณ์ดังกล่าวอย่างน่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ...
คือในเรื่องความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ของกองทัพและรัฐบาลอิสราเอลนั้น ย่อมเป็นอะไรที่รับรู้ไปแทบทั่วทั้งโลกไปแล้วในทุกวันนี้ ถึงขั้นผู้ที่รักความเป็นธรรม ยึดมั่นในความเป็นธรรม ไม่ว่าชาติใด ภาษาใด ประเทศใดๆ ก็แล้วแต่ ต่างต้องลุกขึ้นมาปฏิเสธต่อต้านและคัดค้านกันเป็นแถวๆ กระทั่งในอเมริกา ยุโรป ที่ “รัฐบาล” กับ “ประชาชน” ชักจะเห็นต่าง คิดต่าง ระหว่างกันและกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนที่ว่าจะโหดขนาดไหน เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์ขนาดไหน ทำไมถึง “ม.ม้า” วิ่งไล่ยังไงก็ไล่ไม่ทันเอาดื้อๆ อันนี้...คงไม่ต้องไปคุ้ย แคะ แกะ เกา ไปเสิร์ชโน่น เสิร์ชนี่ ให้เสียเวลา แค่ลองไปฟังคำพูด คำแถลงของคนกลางๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ “ผลประโยชน์” ของฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใด ไม่ได้คิดจะเป็น “ติ่ง” ของใครต่อใครก็แล้วแต่ นั่นก็คือผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ในองค์การสหประชาชาติ อย่างเช่น ผู้อำนวยการ “WHO” หรือ “World Health Organization” “นายTedros Adhanom Ghebreyesus” ที่ออกมาอรรถาธิบายถึงฉากสถานการณ์ในเขตฉนวนกาซา เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ถึงขั้นว่าเป็นเหตุการณ์ที่ “ยากจะอธิบาย” หรือ “อธิบายแทบไม่ได้” (impossible to describe) เรียกว่า...เล่นเอา “พูดไม่ออก-บอกไม่ถูก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่ดูจะมี “เป้าหมาย” มุ่งไปยังบรรดาผู้คนพลเรือน ผู้ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ หรือบรรดา “ผู้บริสุทธิ์” ทั้งหลายนั่นแหละเป็นหลัก อันทำให้การโจมตี ทิ้งระเบิดพร่าผลาญทำลายใครต่อใครของกองทัพอิสราเอลตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงทุกวันนี้ จำนวนไม่ต่ำกว่า 250 ครั้ง เป็นการโจมตี “ระบบสาธารณสุข” ภายในเขตฉนวนกาซาเป็นสำคัญ ไม่ว่าการทำลายโครงสร้างพื้นฐานของการรักษา-เยียวยา การโจมตีการขนส่งของรถพยาบาลที่กำลังลำเลียงคนเจ็บ คนไข้ ไปจนถึงการเล่นงานบรรดาคนไข้โดยตรง ถึงขั้น “เด็กทารก” ที่อยู่ในตู้อบของโรงพยาบาล ขาดไฟ ขาดอากาศหายใจ ยังไม่ทันรู้เรื่อง รู้ความก็เป็นอันต้องตายกันระเนนระนาด ระบบสาธารณสุขถึง 25 แห่งต้องตกเป็นเป้าหมายแห่งการโจมตีในแต่ละครั้งของกองทัพอิสราเอล ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้จำนวนคนตายคราวล่าสุดขณะที่องค์การสหประชาชาติมีข้อมูลอยู่ในมือ หรือที่ตายไปแล้ว 10,800 ราย จึงเป็นเด็กตัวเล็กๆ ถึง 4,324 ราย ผู้หญิงอีก 2,823 ราย เป็นคนแก่-คนชราอีก 649 ราย โดยที่ได้รับบาดเจ็บหรือสูญหายอีก 2,600 รายนั้น ก็ยังน่าจะเป็นเด็กๆ อีกถึง 1,350 รายที่หายไปในซากกองอิฐ กองปูน ไม่ว่าจะถูกระเบิดฟอสฟอรัสขาว ระเบิดเจาะทะลวงบังเกอร์ หรือระเบิดชนิดใดก็ตามของกองทัพอิสราเอลประเคนเข้าใส่อย่างไม่คิดจะบันยะบันยัง จนทำให้ในทุกๆ 10 นาที ต้องมีเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงด้วยฝีมือของกองทัพอิสราเอล อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้!!!
นี่...โหดระดับนี้ เหี้ยมระดับนี้นี่แหละ เลยทำให้ “ม.ม้า” วิ่งยังไงก็วิ่งไล่ไม่ทันโดยเด็ดขาด เพราะขณะสถานที่หลบภัยที่ใครต่อใครคิดว่าพอป้องกันภยันตรายสำหรับชีวิตตัวเองได้มั่ง ไม่ว่าโรงพยาบาล หรือโรงเรียน ที่เต็มไปด้วยชาวปาเลสไตน์นับเป็นหมื่นๆเข้าไปแออัดยัดเยียดอยู่แน่นขนัดไปหมด สุดท้าย...ยังต้องเจอกับการถล่มโรงเรียน โรงพยาบาลชนิดไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย เผลอๆ กลับกลายเป็น “ข้ออ้าง” ว่ามีอุโมงค์ของพวก “ฮามาส” ซุกซ่อนอยู่ภายในพื้นที่นั้นๆ บรรดาผู้คนนับล้านๆ หรือไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านคนจากจำนวนประชากรประมาณ 2 ล้านกว่าคน เลยกลายเป็นผู้พลัดที่นาคาที่อยู่แทบไม่มีสถานที่ใดๆ ที่พอจะช่วยคุ้มกะลาหัว พอช่วยให้ความปลอดภัยได้เลย เพราะแม้แต่ผู้ที่เร่งรีบหอบลูกจูงหลานอพยพไปยังพื้นที่ด้านใต้ภายใน 24 ชั่วโมง ตามคำขู่ของกองทัพอิสราเอล ยังถูกตามไปถล่มระหว่างทาง เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปเป็นกะบิๆ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...มันเลยเป็นอะไรที่อันบรรยายเอเบิล หรือแทบอธิบายไม่ได้ ดังที่ผู้อำนวยการ “WHO” ท่านว่าเอาไว้จริงๆ นั่นแหละ...
และด้วยฉากสถานการณ์ทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้การวิเคราะห์ การตั้งข้อสังเกตของนักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์และอดีตทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ รายหนึ่ง ผู้มีนามกรว่า “Brian Berletic” ต่อสำนักข่าว “Sputnik” เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา จึงเป็นอะไรที่น่าเก็บมาคิด มาใคร่ครวญพิจารณามิใช่น้อย แม้ว่านักวิเคราะห์รายนี้ถ้าพูดกันในชื่อของ “นายBrian Berletic” อาจไม่เป็นที่คุ้นหูสำหรับบ้านเรามากมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดกันในชื่ออีกชื่อที่อาจถือเป็นนามแฝงทำนองนั้น คือ “นายTony Cartalucci” บรรดาทวยไทยทั้งหลายน่าจะพอร้อง “อ๋อ” ได้มั่ง เพราะถือเป็นชาวอเมริกันที่เคยเข้ามาอยู่เมืองไทยจนเกิดความดื่มด่ำ ประทับใจ ชนิดอดไม่ได้ต้องเกิดความรู้สึก “รักในหลวง-ห่วงลูกหลาน” ไม่ต่างไปจากคนไทยด้วยกัน และต้องออกมาเตือนทวยไทยทั้งหลาย ถึงภัยคุกคามแห่งการแทรกแซงของประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์ อย่างคุณพ่ออเมริกา ถึงบทบาท ท่าที “อันตรายๆ” ของพวกอนาคตหมด อนาคตไหม้ หรือพวกก้าวสะเปะสะปะ ฯลฯ มาโดยตลอด...
โดยสำหรับฉากสถานการณ์การเข่นฆ่า ล้างผลาญของกองทัพอิสราเอลในตะวันออกกลางคราวนี้ คุณ “Tony Cartalucci” หรือ “Brian Berletic” ท่านมีแนวคิดมุมมองที่อาจแปลกแตกต่างไปกว่าใครต่อใครอยู่บ้าง คือมองว่ากองทัพอิสราเอลนั้นแทบไม่ได้คิดจะสู้กับพวกฮามาสแต่อย่างใด แต่คิดที่จะ “ฆ่าชาวปาเลสไตน์” เป็นหลักซะมากกว่า หรือการทำสงครามกับพวกฮามาสนั้นเป็นเพียง “ข้ออ้าง” ของกองทัพและรัฐบาลอิสราเอลแต่เริ่มแรก ไม่ต่างไปจาก “สงครามก่อการร้าย” ของสหรัฐฯ หลังเหตุการณ์ถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ โดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายชาวซาอุฯ ที่เรียกกันสั้นๆย่อๆ ว่าเหตุการณ์ 9/11 อะไรประมาณนั้น ที่ทำให้กองทัพอเมริกันสามารถแผ่ขยายอำนาจ อิทธิพล ไปในขอบเขตทั่วทั้งโลก นับจากนั้นเป็นต้นมา...
เพราะความพยายามกดดันประชากรชาวปาเลสไตน์ประมาณ 2.3 ล้านคน ให้อพยพจากด้านเหนือลงไปทางด้านใต้โดยอ้างว่าเพื่อกวาดล้างเล่นงานพวกฮามาสที่ซุกซ่อนอยู่ภายในอุโมงค์ความยาวประมาณ 400-500 กิโลเมตรนั้น อันที่จริงแทบไม่ต่างไปจากความพยายาม “ลบเขตฉนวนกาซาออกไปจากแผนที่” นั่นเอง อันเนื่องมาจากการไร้ที่อยู่ ที่อาศัย ไม่รู้จะทำมาหาอะไรรับประทาน ไม่มีโรงเรียน โรงพยาบาลใดๆ ไว้รองรับ มีแต่ต้องพยายามฝ่าด่านพรมแดน “Rafah” ในอียิปต์เข้าไปเป็นผู้ลี้ภัยตลอดกาล เพราะโอกาสที่จะหวนกลับมาอยู่ในถิ่นที่อยู่อาศัยเดิมๆ แทบเป็นไปไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างต้องตกอยู่ภายใต้ “การควบคุมความมั่นคง-ปลอดภัย” ของอิสราเอล ดังที่นายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” ได้ระบุไว้ล่วงหน้า ว่าจะไม่ปล่อยให้อำนาจราชการ หรืออำนาจรัฐใดๆ มีโอกาสสั่งสอนเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ให้เกลียดชาวยิวคิดฆ่าชาวยิว คิดกำจัดชาวอิสราเอลอีกต่อไปได้เลย และด้วยเหตุนี้นี่เองที่ทำให้อียิปต์จำต้องปฏิเสธการลี้ภัยของชาวปาเลสไตน์ “ไม่ใช่เพราะรัฐบาลอียิปต์ใจร้าย-ใจดำ...แต่เพราะรู้ดีว่าผู้ลี้ภัยเหล่านั้นแทบไม่มีโอกาสกลับไปสร้างชาติ สร้างบ้านสร้างเมืองได้เหมือนเดิมอีกต่อไป...” นั่นคือข้อสรุปของอดีตนาวิกโยธินรายนี้...
คุณ “Tony Cartalucci” หรือ “Brian Berletic” ท่านอาจมองลึก มองเลย ไปถึงความ “สุดโต่ง” ของพวกฮามาส ต่างไปจากนักวิเคราะห์โดยปกติทั่วไปอยู่บ้าง คือมองว่ากลุ่มคนเหล่านี้คือกิ่งก้าน สาขา ของพวก “Muslim Brotherhood” ที่ไม่เพียงแต่เคยคิดโค่นล้มรัฐบาลอียิปต์ รวมทั้งรัฐบาลซีเรีย แต่ยังสุดโต่งถึงขั้นไม่คิดเอากับแผนสันติภาพแบบ “Two States Solution” อีกด้วยต่างหาก อันออกจะสอดคล้องกับความปรารถนาความต้องการของนักการเมืองขวาจัดในอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” แบบชนิดเหรียญอันเดียวกันแต่มีอยู่ 2 ด้านอะไรทำนองนั้น การอาศัยการโจมตีวันที่ 7 ตุลาคมของพวกฮามาสเป็น “ข้ออ้าง” เพื่อ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา จึงอาจทำให้ผลสรุปของสงครามครั้งนี้นำไปสู่การไม่หลงเหลือพื้นที่ใดๆ ที่จะเอาไว้ตั้งประเทศ หรือไม่หลงเหลือชาวปาเลสไตน์เอาไว้ทำยา ทำน้ำอิ๊วใดๆ อีกต่อไป อันถือเป็นข้อสังเกต ข้อวิเคราะห์ที่น่าคิด น่าสะกิดใจมิใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อมองถึงความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ชนิด “ม.ม้า” ตามไม่ทันของกองทัพอิสราเอลในช่วงนี้...
เพราะการที่จะมี “ประเทศปาเลสไตน์” อุบัติขึ้นมาตามแนวคิด “Two States Solution” นั้น ก็คงต้องเป็นไปแบบที่ผู้นำปาเลสไตน์ในเขต “West Bank” หรือประธานาธิบดี “Mahmoud Abbas” ท่านย้ำแล้ว ย้ำอีกเอาไว้นั่นแหละว่า นั่นคือการมีรัฐบาลของชาวปาเลสไตน์เป็นผู้ปกครอง ดูแล พื้นที่ West Bank ฉนวนกาซา และเยรูซาเล็กตะวันออก อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่ถ้าหากพื้นที่ประมาณ 365 ตารางกิโลเมตรของเขตฉนวนกาซา ดันไม่หลงเหลือชาวปาเลสไตน์อันเนื่องมาจากการเข่นฆ่า ล้างผลาญ แบบชนิดไม่เลือกหน้าของกองทัพอิสราเอลคราวนี้ หรือต้องตกอยู่ภายใต้ระบบการควบคุมความมั่นคงปลอดภัยของอิสราเอล ที่ไม่ยอมให้อำนาจรัฐใดสอนเด็กๆ ชาวปาเลสไตน์ให้รังเกียจชาวยิวได้อีกเลย อันนั้น...ก็คงไม่ต่างไปจากการ “ผนวกดินแดนฉนวนกาซา” เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของอิสราเอล การล้มล้างแนวคิด “Two States Solution” ไม่ให้มีโอกาสฟื้นคืนกลับมา โดยอาศัยความโหดของพวกฮามาสเป็น “ข้ออ้าง” เพื่อที่จะโหดกว่า เหี้ยมกว่าหรือเพื่อที่จะ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ โดยเฉพาะพวกเด็กๆ ที่อาจเติบโตขึ้นมาล้างแค้น-เอาคืนชาวยิวได้ทุกเมื่อ...