ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องตามไปเกาะติด “แนวรบตะวันออกกลาง” กันอีกนั่นแหละทั่นโดยเฉพาะเมื่อปฏิบัติการ “บุกภาคพื้นดิน” ของกองทัพอิสราเอลเพื่อหวังกวาดล้างพวก “นักรบฮามาส” ในฉนวนกาซาให้เกลี้ยง!!! ให้ไม่หลงเหลือขีดความสามารถใดๆ ที่จะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับบรรดาลูกหลานชาวยิวได้อีกต่อไป ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วเมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 27 ตุลาคมที่ผ่านมา โดยใครจะเป็นหมู่ เป็นจ่า เป็นสารวัตรกันแน่ จะออกหัว ออกก้อย ออกกลาง ในแบบไหน? อย่างไร? ย่อมต้องถือเป็นสิ่งสำคัญเอามากๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะพื้นที่ในภูมิภาคตะวันออกกลางเท่านั้น แต่อาจต่อโลกทั้งโลกเอาเลยก็ไม่แน่???
โดยถ้าหากฟังจากสุ้มเสียง น้ำเสียง ของผู้นำอิสราเอล นายกรัฐมนตรี “Benjamin Netanyahu” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (28 ต.ค.) แม้จะพยายามปลุกเร้าความโหด ความเหี้ยม ความอหังการของปวงประดาชาวยิวทั้งหลาย ชนิดที่ถือเป็น “สงครามแห่งการประกาศอิสรภาพครั้งที่ 2” ของอิสราเอลเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือ “สงครามระหว่างมวลมนุษย์กับพวกป่าเถื่อน” ที่ไม่ใช่มนุษย์โดยปกติธรรมดาเป็นแค่ “Animals” อย่างที่พวกผู้นำทางทหารอิสราเอลออกมาป่าวประกาศไว้ก่อนหน้านั้น แต่โดย “หางเสียง” ของผู้นำรายนี้ ก็ดูจะหวาดๆ-เสียวๆ ไม่ถึงกับแน่ใจ-มั่นใจ มากมายสักเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่ว่า...“เราเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้นของเส้นทางสายนี้ อันเป็นสงครามที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและยาวนาน” หรือแม้จะได้รับการส่งเสริม สนับสนุนแบบ “ตลอดชั่วนิรันดร์กาล” จากพันธมิตรระดับมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาและพวก “พรมเช็ดเท้า” ในยุโรปอย่างเต็มสูบ เต็มด้าม เพียงใดก็ตาม แต่นั่นอาจเป็นเพราะว่า... “พันธมิตรของเราเข้าใจดีว่า ถ้าอิสราเอลไม่ชนะ...พวกเขานั่นแหละที่จะเป็นรายต่อไป” หรือถ้าแปลภาษาอิสราเอลของ “นายNetanyahu” ออกมาเป็นไทยๆ ก็คงประมาณว่า...ความพ่ายแพ้ของอิสราเอล ย่อมหมายถึงความพ่ายแพ้ของคุณพ่ออเมริกาและโลกตะวันตกทั้งมวลควบคู่ไปด้วย...นั่นแล!!!
แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การบุกฉนวนกาซานั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆอยู่แล้วแน่ๆ ไม่ว่าพวกติ่งอิสราเอล ติ่งอเมริกา หรือติ่งยุโรปทั้งหลาย จะกระเหี้ยนกระหือรือด้วยความเชื่อมั่นต่อศักยภาพทางทหาร ต่ออำนาจการทำลายล้างของกองทัพอิสราเอล หรือของผู้สนับสนุนอย่างคุณพ่ออเมริกาเพียงใดก็ตาม แต่นั่น...มันน่าจะเป็นเพียงแค่ “อดีต” ไม่รู้กี่ต่อกี่ปีมาแล้ว เพราะแม้แต่ชาวอิสราเอลแท้ๆ อย่าง “Dr.Rob Geist Pinfold” ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามที่รู้ลึก-รู้จริง ไม่ใช่แค่พวก “กูรู-กูรู้” ที่ชอบโพสต์ ชอบแชร์ในเว็บไซต์ต่างๆ แบบรู้เรื่องมั่ง-ไม่รู้เรื่องมั่ง คือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในภาควิชาความสัมพันธภาพระหว่างประเทศของมหาวิทยาลัย “Hebrew University” เป็นนักวิจัยที่ผ่านงานการวิเคราะห์ การประเมินสงครามต่างๆ เท่าที่เคยมีมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ของ “The Department of War Studies King’s College” ในอังกฤษแต่ถือเป็นชาวยิวรายหนึ่งที่ออกจะไม่เห็นด้วยกับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง “ยิว-ปาเลสไตน์” ด้วยกรรมวิธีทางทหาร หวังจะให้แก้ด้วยการเมือง การทูต การเจรจาทำความเข้าใจกันมากกว่า และได้พยายามชี้แนะ-ชี้นำเอาไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด เรื่อง “Another forever War” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา นำมาแปลและถ่ายทอดไว้ในชื่อเรื่อง “อิสราเอลควร เสียวไส้!!! ที่อาจตกลงไปในหล่มโคลนของสงครามตลอดกาลในกาซา” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา...
อันนี้นี่แหละ...ที่ถ้าใครได้อ่าน ได้ลองใคร่ครวญ ทบทวน แบบเที่ยวแล้ว-เที่ยวเล่า ไม่ใช่ด้วยความเป็นติ่งโน่น ติ่งนี่ ก็น่าจะพอสรุปได้ไม่ยากว่า ภายใต้ความไม่ได้มี “เอกภาพทางการเมือง” มาตั้งแต่แรกของอิสราเอล ชนิดเลือกตั้งกันถึง 4 ปี 4 หน 4 นายกรัฐมนตรี โอกาสที่กองทัพอิสราเอลจะ “ตกลงไปในกับดักสงครามแห่งการยึดครอง” ต้องเจอกับอนาคตในบั้นปลายแบบ “การถอนตัวออกไปอย่างน่าอัปยศ” เช่นเดียวกับคุณพ่ออเมริกา ที่ต้องหนียะย่ายพ่ายจะแจในสงครามเวียดนาม หรือต้องปิดฐานทัพหนีในสงครามอัฟกานิสถานคราวล่าสุด รวมทั้งอีกหลายต่อหลายสงคราม ใช่ว่าจะเป็นไปได้เอาเลย!!!
และคงไม่ได้มีแต่ผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามอย่าง “Dr.Rob Geist Pinfold” รายนี้ รายเดียวเท่านั้น ที่เห็นไปในแนวนี้ ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านทหารอย่างอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ “นายScott Ritter” อดีตนายพลนอกราชการกองทัพอเมริกัน อย่าง “พลเอกRobert Adams” ต่างก็เห็นพ้อง ต้องกัน ไปในแนวเดียวกันนั่นแหละ หรือในขณะที่ “นายScott Ritter” มองว่าความพยายามที่จะเล่นงานพวกนักรบฮามาสในเขตฉนวนกาซาของกองทัพอิสราเอล เป็นปฏิบัติการที่แทบไม่ต่างไปจากหนังฮอลลีวูดบางเรื่อง หรือเป็น “A Mission Impossible” ที่เอาไว้โม้ ไว้คุยโต ตามเรื่อง-ตามราว ตามพล็อตหนัง พล็อตนิยาย อะไรทำนองนั้น “พลเอกRobert Adams” ที่อาจมองโลกในแง่ดีขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่ต้องสรุปไว้ล่วงหน้า ว่าปฏิบัติการดังกล่าวของกองทัพอิสราเอล ค่อนข้าง “Nearly Impossible” หรือ “แทบเป็นไปไม่ได้” เช่นเดียวกัน...
ไม่ต่างไปจากนักรบแท้ๆ และยังอยู่ในประจำการอย่างประธานเสนาธิการทหารอิหร่าน “พลตรีMohammad Baqeri” ที่พูดไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (30 ต.ค.) ถึงศักยภาพในการตั้งรับ การป้องกันการโจมตี ของพวกนักรบฮามาส ซึ่งได้รับการตระเตรียมมาเป็นปีๆ ด้วยการ “ขุดอุโมงค์” เชื่อมโยงเชื่อมต่อภายในพื้นที่ประมาณ 365 ตารางกิโลเมตรของเขตฉนวนกาซาชนิดมีความยาวไม่ต่ำกว่า 400-500 กิโลเมตร เพื่อใช้เป็นเส้นทางขนส่ง เป็นศูนย์บัญชาการ ขนย้ายสินค้า เป็นที่นอน เป็นโรงพยาบาล เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมทางทหาร ถึงขั้นสามารถใช้รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ วิ่งไป-วิ่งมาภายในอุโมงค์กันได้สบายๆ การกวาดล้าง ทำลาย แนวตั้งรับ แนวป้องกันในลักษณะเช่นนี้ จึงเป็นเรื่อง “ไม่ง่าย” อยู่แล้วแน่ๆ มีแต่ต้องหาทาง “ยึดพื้นที่ทุกๆ ตารางเมตร” ของฉนวนกาซาให้ได้ก่อนเท่านั้น อย่างที่ “นายScott Ritter” ว่าไว้ ถึงอาจพอบั่นทอนทำลายขีดความสามารถพวกฮามาสในการสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวต่ออิสราเอลขึ้นมาได้จริงๆ...
ดังนั้น...การทิ้งระเบิดนับเป็นพันๆ ตัน รวมทั้งระเบิดฟอสฟอรัสขาว ระเบิดเจาะทะลวงบังเกอร์ใส่พื้นที่แทบทุกตารางเมตรในฉนวนกาซา ชนิดพลเรือนผู้บริสุทธิ์ตายไปแล้วเป็นหมื่นๆ เฉพาะเด็กเล็กๆ ที่ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ไม่ต่ำกว่า 3,000 ศพ เข้าไปแล้วจึงเป็นสิ่งที่ “ไม่ได้มีคุณค่า-ราคาใดๆ ในทางทหาร” ตามทัศนะ แนวคิด ของนักการทหารอย่าง “พลตรีBaqeri” หรือไม่ได้แสดงให้เห็นถึง “สัญญาณแห่งชัยชนะ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...กลับก่อให้เกิดกระแสต่อต้าน เกิดความไม่เห็นด้วยของบรรดาชาวโลกทั้งหลาย ต่อ “ความเหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” ระดับ “ม.ม้า” แทบวิ่งไล่ไม่ทัน ของกองทัพอิสราเอลและบรรดาพวกผู้สนับสนุนทั้งหลาย จนต้องออกมาเรียกร้องให้ “หยุดยิง” ให้เลิกพร่าผลาญชีวิตผู้บริสุทธิ์ อันแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “การสังหารหมู่” หรือ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” อย่างที่พวก “นาซีฮิตเลอร์” เคยกระทำย่ำยีต่อชาวยิวมาก่อนหน้านั้น...
โดยกระแสดังกล่าว...ก็ใช่ว่าจะ “ดูเบา” กันได้ง่ายๆ ไม่ว่าทั่วทั้งยุโรปที่ผู้คนออกประท้วงรัฐบาลอิสราเอลและรัฐบาลตัวเอง ที่เอาแต่ยืนเบิ่งตาดูการเข่นฆ่า ล้างผลาญดังกล่าว อย่างไม่รู้สึก-รู้สา ในกรุงลอนดอนผู้คนออกมากันเป็นแสนๆ ในอเมริกาถึงขั้นบุกอาคารรัฐสภา ยึดสถานีรถไฟ ปิดสะพานบรู๊คลิน ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...มันอาจยกระดับไปแบบเดียวกับครั้งการต่อต้าน “สงครามเวียดนาม” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันถึงกับง่อยเปลี้ย เสียขา ต้องพังก่อนกำหนดเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยเฉพาะถ้าหากมันต้องยืดเยื้อ ยืดยาวยิ่งขึ้นไปเท่าไหร่ โอกาสที่พวกรัฐบาล “พรมเช็ดเท้า” ในยุโรป หรือกระทั่งการเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันในปีหน้า จะย่อยยับ ยู่ยี่กันไปเป็นแถบๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...
ยิ่งไปกว่านั้น...มันอาจส่งผลให้โลกทั้งโลกนั่นแหละ มีแต่ต้องล้มคว่ำ คะมำหงาย กันไปแทบจะทั้งโลก อันเนื่องมาจากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ หรือ “ราคาพลังงาน” มันอาจพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ไปถึงอวกาศขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ดังที่รองหัวหน้าคณะเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลก “นายAyhan Kose” ได้ออกมาประเมินถึงความเป็นไปได้ที่ฉากสถานการณ์ในตะวันออกกลาง อาจทำให้ราคาน้ำมันในปีหน้าพุ่งขึ้นไปถึง 3 ระดับด้วยกัน โดยระดับเล็กสุด...อยู่ที่ประมาณ 93-102 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ระดับกลางอยู่ที่ 109-121 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ระดับสูงสุดอาจปาเข้าไปถึง 140-157 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอาจทำให้ตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ “GDP โลก” หายไปถึง 5 เปอร์เซ็นต์ ดังที่ผู้อำนวยการ “WTO” “นายNgozi Okonjo” ออกมาทำนาย ทายทักเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (30 ต.ค.) เอาเลยก็ไม่แน่!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากยัง “บ้า” ยังอยากจะใช้ “สงคราม” เป็นทางออก เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาใดๆ ก็ตาม โอกาสที่จะ “เจ๊ง...กับ...เจ๊ง” ไปด้วยกันทั้งโลก หรือมีแต่ “ผู้แพ้” ไม่มีใครเป็น “ผู้ชนะ” เอาเลยแม้แต่น้อย ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าผู้นำอิสราเอลอย่าง “นายNetanyahu” จะตีความ แปลความ ว่าการที่บรรดาชาวโลกเรียกร้องให้มีการ “หยุดยิง” หมายถึงการเรียกร้องให้อิสราเอล “ยอมแพ้” ก็เถอะ แต่ทำไงได้!!!...ในเมื่อ “แนวโน้มของโลก” มันออกมาในแนวนี้แนวที่ “อวสานอเมริกา” เริ่มปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ส่วนจะถึงขั้นที่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลอาจต้องถูก “ลบออกไปจากแผนที่” หรือไม่? อย่างไร? ก็คงต้องขึ้นอยู่กับ “กฎเหล็กแห่งธรรมชาติ” อันว่าด้วย...ด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้ จึงเป็นไป...นั่นแล...