เปิดฉากสัปดาห์นี้ อาจแทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “เปิดประตูนรก” นั่นแหละทั่น!!! เพราะผู้ที่กระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ ในการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” อย่างคุณพ่ออเมริกา งานนี้...ต้องเรียกว่าท่าน “ทุ่มสุดตัว” เอาจริงๆ ต่อการพิทักษ์ ปกป้อง “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอล ใน “แนวรบตะวันออกกลาง” ขณะที่ “แนวรบยุโรปตะวันออก” ก็ยังถูกกระพือฮือโหมด้วยตัวตลก-ตัวแทนอย่างยูเครน ให้บั่นทอนกำลังของรัสเซียให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...
คือไม่ใช่แค่เฉพาะการส่ง “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ถึง 2 ลำ “USS Gerald R. Ford” และ “USS Dwight D. Eisenhower” เข้าไปประชิดน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน คอยปัดป้องขีปนาวุธจากพวก “Houthi” ในเยเมน หรือพวก “Hezbollah” ในเลบานอนก็แล้วแต่ ให้กับอิสราเอลลูกแล้ว ลูกเล่า แต่ท่านยังพร้อมที่จะ “วีโต” มติที่ประชุมสภาความมั่นคงสหประชาชาติ 15 ประเทศ ที่เสนอโดยบราซิล เมื่อช่วงวันพุธที่แล้ว (18 ต.ค.) ที่เรียกร้องให้ทุกฝ่ายไม่ว่าฮามาสหรืออิสราเอล “หยุดยิง” เพื่อเปิดช่อง เปิดโอกาส ให้กับการส่ง “ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม” ไปยังชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ที่ถูกเครื่องบินทิ้งระเบิดของอิสราเอลสังหาร พร่าผลาญ ไปแล้วไม่น้อยกว่า 5,000 ศพ บาดเจ็บอีก 17,000 ราย ไร้ที่อยู่อาศัยเกือบ 500,000 คน นั่นยังไม่นับรวมไปถึงบรรดาหมอ พยาบาล คนไข้ ที่ต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง รวดเดียว 500 ราย เพราะการถล่มโรงพยาบาล “Al-Ahli Arab Hospital” โดยฝีมือของใครก็แล้วแต่ เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลข้ออ้าง ที่สุดจะหยาบ จะถ่อย นั่นคือด้วยเหตุเพราะข้อเสนอของบราซิล ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อ “สิทธิในการปกป้องตัวเอง” ของอิสราเอล หรือพูดง่ายๆ ว่า...ท่านพร้อมที่จะเบิ่งตาดูการ “สังหารหมู่” พลเรือนผู้บริสุทธิ์ แถมส่วนใหญ่ยังเป็นเด็ก ผู้หญิง และคนชรา ทั้งๆ ที่เคยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” เป็นเครื่องมือกดดันและแทรกแซง ใครต่อใครมาโดยตลอด...
คือถึงขั้นที่ทูตจีนประจำสหประชาชาติ “นายZhang Jun” ถึงกับต้องอุทานว่า “ไม่น่าเชื่อ” ว่าจะเป็นไปได้ หรือทูตรัสเซีย “นายVassily Nebenzia” ต้องเอ่ยปากว่า “เราทั้งหลาย...ได้เป็นประจักษ์พยานอีกครั้ง ต่อการกระทำแบบมือถือสาก ปากถือศีล และการใช้มาตรฐานแบบ 2 มาตรฐานของอเมริกา” แต่ไม่ว่าใครจะคิดเห็นเป็นประการใดก็แล้วแต่ ไม่ว่าชาวโลกที่ออกมาประท้วงการกระทำของอิสราเอลกันแทบจะทั้งโลก กระทั่งชาวอเมริกันเองนับร้อยๆ ถึงกับบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้หยุดยั้งการรุมกระทืบชาวปาเลสไตน์ แต่เสียงเรียกร้องเหล่านี้ก็เข้าหูซ้ายแล้วทะลุออกไปทางหูขวาของรัฐบาลอเมริกัน รวมทั้งบรรดาพวก “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” ในยุโรปทั้งหลาย ที่ต่างแห่แหน แวะเวียน ไปให้กำลังขวัญ กำลังใจต่อรัฐบาลอิสราเอลกันถึงที่ ไม่ว่าผู้นำเยอรมนี อังกฤษ ฝรั่งเศส ฯลฯ แม้จะต้องหัวซุกหัวซุน ต้องหลบห่ากระสุนเข้าไปซุกอยู่ในบังเกอร์ก็ตาม...
งานนี้...มันเลยคงไม่ใช่แค่การ “หน้าด้าน” แบบโดยปกติธรรมดาเท่านั้น แต่การ “เปิดไฟเขียว” พร้อมที่จะเบิ่งตาดูพันธมิตรในตะวันออกกลางอย่างอิสราเอลก่อการ “สังหารหมู่” ผู้คนนับล้านๆ แบบไม่รู้สึก-รู้สาใดๆ ทั้งสิ้น มันน่าจะมี “วาระซ่อนเร้น” แทรกซึมอยู่ในความหยาบความถ่อย อยู่มั่งไม่มาก-ก็น้อย หรืออย่างที่ “ศาสตราจารย์Michael Hudson” นักเศรษฐศาสตร์อเมริกันแห่งมหาวิทยาลัย “Missouri-Kansas” อดีตนักวิเคราะห์วอลล์สตรีท ท่านได้ตั้งข้อสังเกตไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” นั่นแหละว่า สงครามระหว่างอิสราเอล-ปาเลสไตน์ อาจเป็นแค่ “หน้ากาก” ที่เอาไว้ปิดบังความพยายามของรัฐบาลอเมริกันในอันที่จะแผ่อิทธิพลครอบงำตะวันออกกลางทั้งภูมิภาค เพื่อรักษาความเป็นจ้าวโลกต่อไปให้จงได้ หรือทำให้ซีเรียและอิหร่านนั่นเอง ที่จะกลายเป็น “เป้าหมาย” ที่แท้จริงของสหรัฐฯ ในระยะต่อไป โดยอาศัยอิสราเอลเป็น “เครื่องมือ” ไม่ต่างไปจากที่อาศัยยูเครนเป็นตัวบั่นทอนศักยภาพของรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออก นั่นเอง...
ยิ่งถ้ามองการบุกโจมตีอิสราเอลของขบวนการฮามาส ไม่ต่างไปจากการโจมตีอเมริกาในเหตุการณ์ 9/11 ยิ่งน่าจะเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นไปใหญ่ คือไม่ว่าหน่วยข่าวกรองอเมริกันจะรู้ล่วงหน้าถึงการโจมตีดังกล่าวหรือไม่? เพียงใด? ไม่ต่างไปจากหน่วยข่าวกรองมอสซาดของอิสราเอลคราวนี้ แต่ผลจากกรณี 9/11 นั่นเอง ที่ถูกนำมาใช้เป็น “เงื่อนไข” ให้รัฐบาลอเมริกันเปิดฉาก “สงครามกับการก่อการร้าย” ไปทั่วทุกภูมิภาคของโลก บุกอัฟกานิสถาน บุกอิรัก บุกเข้าไปประชิดติดรั้วบ้านของรัสเซียและจีนในเอเชียกลาง แผ่อำนาจลามมาถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมกับเสียงขู่คำรามว่า “ใครที่ไม่คิดยืนเคียงข้างอเมริกา...ผู้นั้นก็คือผู้ยืนข้างผู้ก่อการร้าย” แม้สุดท้าย...จะต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจไปจากแต่ละแห่ง แต่ละที่ แต่ด้วยความพยายามที่จะดำรง รักษา ความเป็นจ้าวโลกต่อไปให้จงได้ บรรดา “นักการเมือง” อเมริกันโดยส่วนใหญ่ ก็ยังพร้อมที่จะเดินไปตามแนวทางเช่นนี้ รวมทั้งพวกนักคิด-นักยุทธศาสตร์ที่ถูกเรียกขานในนามพวก “Neocon” ทั้งหลาย ซึ่งมีบทบาทอยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกันแต่ละรัฐบาลมาโดยตลอด...
สิ่งที่น่าคิด น่าสะกิดใจ มิใช่น้อย...ที่นักเศรษฐศาสตร์ผู้เกาะติดความเคลื่อนไหวทางการเมือง-เศรษฐกิจ-การทหารของโลกมาโดยตลอด อย่าง “ศาสตราจารย์Michael Hudson” ได้ค้นพบมานานแล้วตั้งแต่ครั้ง “สงครามเวียดนาม” โน่นเลย คือแม้ว่าในแง่ “การทหาร” บรรดา “ทหารอาชีพ” ทั้งหลายจะรู้ว่าอเมริกาคงต้องแพ้ หรือไปต่อไม่ได้อีกแล้วในสงครามเวียดนามแต่บรรดา “นักการเมือง” อเมริกันนั่นเอง กลับคิดว่า “เราคืออเมริกา...และเราต้องชนะเสมอ” ชนิดที่แนวคิดชนิดนี้กลายเป็น “ความเชื่อ” ไม่ต่างไปจากความเชื่อทางศาสนา หรือเชื่อว่า “พระเจ้าจะอยู่เคียงข้างพวกเรา” เอาเลยถึงขั้นนั้น โดย “คุณจะพบกับความเชื่อในลักษณะเช่นนี้ได้เสมอไม่ว่าในสภาความมั่นคงแห่งชาติ หน่วยงานซีไอเอและพวก Deep State ทั้งหลาย” ดังนั้น...การคิดที่จะเปิดศึกพร้อมๆ กัน ไม่ว่าในแนวรบยุโรปตะวันออกกับรัสเซีย ในแนวรบตะวันออกกลาง ไปจนกระทั่งในแนวรบทะเลจีนใต้ จึงเป็นสิ่งที่นักการเมืองอเมริกันแต่ละรายพร้อมที่จะเกาะกระแส โหนกระแส โดยไม่ได้คิดหน้า-คิดหลังเอาเลยแม้แต่น้อย เหมือนอย่างที่วุฒิสมาชิกรีพับลิกันแห่งเซาท์ แคโรไลนา “นายLindsey Graham” ออกมาป่าวประกาศเมื่อวัน-สองวันนี้ ว่า... “ถ้าพวก Hezbollah ที่มีอิหร่านหนุนหลังคิดโจมตีอิสราเอล ผมจะเสนอวุฒิสภาอนุญาตให้สหรัฐฯ ส่งทหารเข้าร่วมกับอิสราเอลในการโจมตีอิหร่าน” หรือพร้อม “Knock Iran out of oil business” โดยฉับพลันทันทีนั่นเอง...
แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญด้านทหาร อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองนาวิกโยธินสหรัฐฯ อย่าง “นายScott Ritter” จะฟันธงเอาไว้แบบมิดด้าม เต็มด้าม ไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดเรื่อง “US Not Ready for War with Iran” หรืออเมริกาไม่พร้อมที่จะทำสงครามกับอิหร่าน แต่สิ่งเหล่านี้ก็คงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของบรรดานักการเมืองในอเมริกาอีกนั่นเอง ความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะอาศัยอิสราเอลเป็น “เครื่องมือ” เปิดแนวรบในตะวันออกกลาง แบบเดียวกับที่อาศัยตัวตลก-ตัวแทนอย่างยูเครนบั่นทอนศักยภาพรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออก จึงเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ยิ่งโดยเฉพาะเมื่ออดีตรัฐมนตรีกลาโหม หนึ่งในคณะรัฐมนตรีฉุกเฉินของอิสราเอล “นายBenny Gantz” ออกมาคาดคำนวณถึงระยะเวลาในการทำสงครามคราวนี้ ว่าอาจต้องใช้เวลายาวนานเป็นเดือนๆ ปีๆ ไม่ใช่แค่ไม่กี่วันจบอย่างเท่าที่เคยเป็นมา ยิ่งทำให้ความเป็นไปได้ของการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ยิ่งพอเห็นภาพชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที...
ยิ่งใกล้เลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกายิ่งขึ้นเท่าไหร่ ความพยายามที่จะตอบสนองความพึงพอใจของนักธุรกิจอเมริกันเชื้อสายยิวผู้สนับสนุนพรรคการเมืองในแต่ละพรรค ยิ่งกลายเป็นตัวเพิ่มความกระเหี้ยนกระหือรือยิ่งขึ้นไปเท่านั้น โอกาสที่เราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย...จะได้เป็นประจักษ์พยานถึงความพังพินาศ ฉิบหาย ไม่ว่าเศรษฐกิจ ธุรกิจ การเมือง การทหาร ได้เห็นราคาน้ำมันที่พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ไปจนถึงอวกาศ เห็นความเป็น-ความตายของผู้คนนับล้านๆ เห็นภาวะเงินเฟ้อและการล้มละลาย เห็นความปั่นป่วน ระส่ำระสายที่แผ่กระจัดกระจายไปทั่วทุกซีกโลก ฯลฯ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย!!! ด้วยเหตุนี้...การ “เปิดประตูนรก” ให้พอนึกภาพ เห็นภาพ เอาไว้แต่เนิ่นๆ จึงมีอันเป็นไปด้วยประการละฉะนี้...แล...