เอาไป-เอามา...การโจมตี-ตอบโต้หมีขาวรัสเซียเพื่อให้ “เข้าตากรรมการ” ของ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครน ดูๆ มันชักหนักไปทาง “การก่อการร้าย” ยิ่งเข้าไปทุกที อย่างที่เพิ่งใช้เครื่องบินโดรนโจมตีสะพานไครเมียเมื่อวัน-สองวันมานี้ แม้ว่าแทบไม่ได้น้ำ-ได้เนื้ออะไรขึ้นมาเลย พลเรือนผู้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่สองสามี-ภรรยาและลูกสาวต้องรับเคราะห์ไปแทนที่ แถมยังส่งผลให้บรรดาชาวรัสเซียทั้งหลาย “แค้นตาแม้น” กันไปมิใช่น้อย ไม่ว่าอดีตประธานาธิบดี ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน ต่างออกมาเข่นเขี้ยว-เคี้ยวฟัน ดังสนั่น ส่วนจะแก้แค้น-เอาคืนในแบบไหน? อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปได้ แต่ที่แน่ๆ...บรรดาประเทศต่างๆ เกือบๆ 40 ประเทศ ที่ต้องพึ่งพาอาหาร ข้าวสาลี ปุ๋ย ฯลฯ ด้วยการขนส่งจากทะเลดำ ยังพลอยต้อง “ซวย” ไปด้วย เพราะรัสเซียเขาไม่คิดจะต่อสัญญา ข้อตกลง ในความร่วมมือขนส่งข้าว-ปลา-อาหาร หรือที่เรียกๆ ว่า “Grain Deal” เอาดื้อๆ!!!
แต่ก็นั่นแหละ...เรื่องของ “สงคราม” เรื่องของการโจมตีกันไป-โจมตีกันมาในทางทหารนั้น คงไม่ต่างไปจากการสาดน้ำใส่กันและกัน ไม่ว่าใครจะเปียกมาก-เปียกน้อย แต่สุดท้าย...ย่อมเปียกไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแล ส่วนผู้ที่อยากจะสาดน้ำใส่ผู้อื่นแต่ตัวเองไม่คิดจะเปียกด้วย หรือผู้ที่มุ่งยุแยงตะแคงรั่ว มุ่งที่จะให้ตัวตลก-ตัวแทนอย่างยูเครนสู้กับรัสเซียจนกว่าจะไม่เหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึง “สันดอนและสันดาน” ในลักษณะดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน ดังคำให้สัมภาษณ์ของที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” ต่อสำนักข่าว “CBS” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ในกรณีความเห็นของรัฐบาลสหรัฐฯ ถึงการเข้าร่วมเป็นสมาชิก “นาโต” ของยูเครน ประมาณว่า “การนำเอายูเครนมาร่วมกับนาโตขณะที่สงครามยังไม่ยุติ ก็หมายถึงนาโตต้องทำสงครามกับรัสเซีย หมายถึงสหรัฐฯ ต้องทำสงครามกับรัสเซีย อันเป็นสิ่งที่ทั้งนาโตและอเมริกา ยังไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการกระทำเช่นนี้” คือสรุปง่ายๆว่า...ด้วยเหตุเพราะสหรัฐฯ และนาโตยังไม่คิดจะตาย ไม่คิดจะเปียก บรรดาชาวยูเครนและชาวรัสเซียทั้งหลาย คงต้อง “โชคดี...ที่ตายก่อน” ไปตามสภาพ...ประมาณนั้น...
ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตไปว่าถึงเรื่องที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง “การทหาร” มากมายสักเท่าไหร่นัก คือเรื่อง “เงินๆ-ทองๆ” ที่ได้เริ่มต้นเปิดฉากไว้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา หรือเรื่องแนวโน้มความเป็นไปของ “เงินยูเอสดอลลาร์” ที่นับวันชักออกอาการ “ใครๆ ก็ไม่รักผม...แม้พัดลมยังส่ายหน้าเลย” หรือเกิดแนวโน้มของการ “De-dollarization” ชนิดที่อาจถือเป็น “The Global De-dollarization” ไปแทบจะทั่วทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะโดยเหตุผลส่วนตัวของแต่ละประเทศอย่างเป็นการเฉพาะ หรือเหตุผลโดยรวมอันเนื่องมาจากการเสื่อมค่า ด้อยค่า ของเงินตราสกุลนี้อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งขึ้นไปทุกที ความปั่นป่วนระส่ำระสายของระบบเศรษฐกิจอเมริกา ไม่ว่าปัญหาเงินเฟ้อ แบงก์เจ๊ง หนี้สินล้นพ้นตัวระดับไม่ว่าชาติหน้าหรือชาติไหนๆ ก็ใช้หนี้ไม่หมด ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ว่ากันว่า ส่งผลให้บรรดาประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 85 ประเทศเข้าไปแล้ว ที่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “De-dollarization” ไม่ว่าจะโดยจงใจ หรือไม่จงใจก็ตาม ไล่มาตั้งแต่กลุ่มประเทศ “BRICS” ที่มีจำนวนประชากรเกือบครึ่งโลก มีสัดส่วนจีดีพีแซงประเทศรวยๆ อย่าง “G7” ไปแบบเส้นยาแดงผ่าแปด หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่ที่โลกทั้งโลกต้องคอยจับตาอย่างเป็นพิเศษ เช่นประเทศ “อาเซียน” ของหมู่เฮาทั้งหลาย ไปจนประเทศในตะวันออกกลางอิหร่าน ซาอุฯ ยูเออี ตามด้วยตุรกี-ตุรเคีย เลยไปถึงประเทศในละตินอเมริกาอย่างอาร์เจนตินา ฯลฯ เป็นต้น...
ยิ่งภายใต้ภาวะที่ “หนี้สิน” ของโลก...พุ่งระเบิดเถิดเทิงยิ่งเข้าไปทุกที หรืออย่างที่ผู้บริหาร “UNDP” “นายAchim Steiner” เขาได้สรุปไว้ในเวทีประชุมรัฐมนตรีคลังกลุ่มประเทศ “G20” ที่อินตะระเดียเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (17 ก.ค.) นั่นแหละว่าแนวโน้มที่บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย จะต้อง “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” ต้อง “ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย” ต้อง “ผิดนัดชำระหนี้” กำลังมีความเป็นไปได้สูงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะหนี้ที่ต้องใช้คืนด้วยเงินยูเอสดอลลาร์ อันถูกเพิ่มพูนด้วยภาระอัตราดอกเบี้ยที่พุ่งจาก 0 เปอร์เซ็นต์ ปาเข้าไปถึงกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วทุกวันนี้ จากความพยายามต่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อของธนาคารกลางสหรัฐฯ นั่นเอง หรือถ้าว่ากันตามตัวเลข สถิติ ที่เลขาธิการสหประชาชาติ “นายAntonio Guterres” ออกมาเปิดเผยด้วยตัวเอง เกือบๆ 52 ประเทศที่มีจำนวนประชากรรวมๆ ถึง 3,300 ล้านคน ต่างตกอยู่สภาพเดียวกันไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง การละทิ้งเงินดอลลาร์แล้วหันมาหาทางใช้หนี้ด้วยเงินสกุล “หยวน” หรือด้วยสิทธิพิเศษในการถอนเงิน “SDR” ของ “IMF” อย่างที่ประเทศอาร์เจนตินาได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง จึงอาจถือเป็นทางออก-ทางไป ที่ยิ่งทำให้บทบาทของ “เงินยูเอสดอลลาร์” ยิ่งตกต่ำยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
นอกเหนือไปจากนั้น...ถ้าดูจากผลสำรวจอันปรากฏในรายงานชิ้นล่าสุดของ “BIS” หรือ “The Bank for International Settlements” เมื่อช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา การละทิ้งเงินยูเอสดอลลาร์ แล้วหันไปหา หันไปสร้างสรรค์ เงินตราสกุลใหม่ๆ อันได้แก่ “เงินดิจิทัล” ของธนาคารกลางในแต่ละประเทศ ที่เรียกย่อๆ ว่า “CBDC” (A Central Bank Digital Currency) ทั้งในแง่การจับจ่ายใช้สอย ในระดับตัวบุคคล หรือระหว่างสถาบันการเงินต่อสถาบันการเงินด้วยกัน กำลังเป็นไปอย่างเอาเรื่อง-เอาราว เป็นเรื่อง-เป็นราว ยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุเพราะความคล่องตัว การลดต้นทุน รวมทั้งการลด “ความเสี่ยง” จากการที่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพันกับเงินยูเอสดอลลาร์ ไม่ว่าโดยเหตุผลกลใดก็ตามที อันทำให้ธนาคารกลางไม่น้อยกว่า 79 ธนาคาร จาก 86 ประเทศ เริ่มคิดจะงัดเอาเงิน “CBDC” มาใช้แทนเงินยูเอสดอลลาร์ในอีกไม่เกิน 3 ปีนับจากนี้...
ยิ่งไปกว่านั้น...ในการประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” ครั้งที่ 15 ที่กรุงโยฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ ในช่วงเดือนสิงหาฯ ที่กำลังจะมาถึง ว่ากันว่า...วาระการประชุมที่เร่งด่วนและสำคัญเอามากๆ ก็คือการพูดจา ว่ากล่าว กันในเรื่อง “A New Common Currency” หรือการหาข้อสรุปถึงความร่วมมือที่บรรดากลุ่มประเทศ “BRICS” ทั้งหลายคิดฝันกันมานานแล้ว ในอันที่จะหา “ทางเลือก” ด้วยเงินตราสกุลใหม่ๆ ที่ย่อมไม่ใช่เงินยูเอสดอลลาร์โดยเด็ดขาด และนั่นย่อมต้องส่งผลให้เงินดอลลาร์อเมริกัน ยิ่งต้องลดบทบาท อิทธิพล ลดระดับการ “ครอบงำ” ใครต่อใครมาไม่รู้กี่ต่อกี่ทศวรรษ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย อันนี้นี่แหละ...ที่ถือเป็น “แนวโน้ม” ที่คงต้องจับตา ต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวดังกล่าวอย่างเป็นพิเศษ...
เพราะอย่างที่ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันเอง “นายMichael Hudson” อดีตนักวิเคราะห์วอลล์สตรีท ได้สรุปเอาไว้ให้พอเห็นภาพ ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ง่ายๆ ประมาณว่า...เหตุที่ “ฐานทัพอเมริกัน” สามารถแผ่ขยายไปทั่วทุกซีกโลกได้ไม่น้อยกว่า 800 ฐานทัพในทุกวันนี้ ก็ด้วยเหตุเพราะ “เม็ดเงินงบประมาณ” ที่ก่อรูป ก่อร่าง มาจากอำนาจและอิทธิพลของ “เงินยูเอสดอลลาร์” อันเป็นสิ่งที่โลกทั้งโลกเคยให้การยอมรับ หรือยอม “ศิโรราบ” โดยไม่คิดจะตั้งคำถามใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเงินตราสกุลดังกล่าวจะเปลี่ยนสถานะ จาก “Promissory Note” หรือจากคำสัญญาที่เคยรับประกันไว้ว่าใครที่ถือเงินดอลลาร์ประมาณ 36 ดอลลาร์ สามารถเอาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำประมาณ 1 ออนซ์ได้เสมอๆ กลายมาเป็น “Fiat Money” หรือเงินตราที่ไม่ได้มีอะไรรับประกัน ไม่ได้มีอะไรหนุนหลัง รองรับเอาไว้เลย อาศัยเพียงแค่อุปสงค์-อุปทาน หรือ “ความต้องการ” ของใครต่อใครแต่เพียงเท่านั้น นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1971 เป็นต้นมา...
แต่ด้วยเหตุเพราะสถานะเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้รัฐบาลอเมริกันสามารถ “พิมพ์เงินดอลลาร์” ออกมาเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ก็ย่อมได้ สามารถ “ก่อหนี้” ชนิดท่วมหู ท่วมหางระดับเกิดมาเป็น “สุธี” อีกสักกี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่มีวันใช้หมด สามารถ “ขาดดุล” ไม่ว่าทางการค้า หรืองบประมาณเพิ่มขึ้นๆ ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่ยังคงกระเสือกกระสนต่อไปเรื่อยๆ รวมทั้งยังสามารถแผ่อำนาจทางทหารไปทั่วทุกซีกโลกจนเกิดฐานทัพอเมริกันถึง 800 ฐานทัพอยู่ในทุกวันนี้ ดังนั้น... “ความเสื่อมของเงินยูเอสดอลลาร์” ที่กำลังปรากฏให้เห็นชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที ก็คือหลักฐานและข้อพิสูจน์ให้เห็นถึง “ความเสื่อมของจักรวรรดินิยมอเมริกา” ว่ามีแต่จะต้อง “สาละวัน...เตี้ยลง-เตี้ยลง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ แม้พยายามยุแยงตะแคงรั่ว พยายามฉุดกระชากลากถูใครต่อใครให้มา “ตายแทน” ตัวเอง ชนิดไม่คิดจะหลงเหลือ “ชาวยูเครนคนสุดท้าย” เอาไว้เลยก็ตามที!!!