รัสเซียประกาศเตือนว่าเรือที่ล่องเข้าไปท่าเรือต่างๆ ของยูเครนในทะเลดำตั้งแต่วันนี้ (20 ก.ค.) เป็นต้นไป จะถูกถือว่าเป็น “เป้าโจมตีทางทหาร” (military targets) เพียงไม่กี่วันหลังจากที่มอสโกปฏิเสธต่ออายุข้อตกลงเปิดทางส่งออกธัญพืชของยูเครน จนเสี่ยงที่จะกระพือวิกฤตด้านอาหารของโลก
ด้านรัฐบาลยูเครนระบุวานนี้ (19) ว่ากำลังหาวิธีเปิดเส้นทางขนส่งธัญพืชใหม่ผ่านทาง “โรมาเนีย” ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดกับทะเลดำเช่นกัน
“เป้าหมายเพื่อที่จะอำนวยความสะดวกในการเปิดเส้นทางขนส่งนานาชาติในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของทะเลดำ” วาซิล ชกูราคอฟ รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงชุมชน ดินแดน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของยูเครน ระบุในจดหมายที่ส่งถึงองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Shipping Organization)
ข้อตกลงส่งออกธัญพืชยูเครนระยะเวลา 1 ปีที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และตุรกีเป็นคนกลางเจรจาหมดอายุลงไปเมื่อวันจันทร์ (17) หลังจากที่รัสเซียประกาศถอนตัว โดยเรือขนส่งธัญพืชลำสุดท้ายเดินทางออกจากท่าเรือของยูเครนเมื่อวันอาทิตย์ (16)
ทั้งยูเครนและรัสเซียต่างเป็นชาติผู้ส่งออกธัญพืชรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก และสถานการณ์ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นส่งผลให้ราคาข้าวสาลีในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นถึง 8.5% ในวันพุธ (19) ซึ่งเป็นการขยับราคาขึ้นสูงสุดภายในวันเดียวนับตั้งแต่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเปิดฉากขึ้นเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ปี 2022
กระทรวงกลาโหมรัสเซียประกาศว่า มอสโกจะถือว่าเรือสินค้าติดธงชาติต่างๆ ที่เดินทางเข้าไปท่าเรือของยูเครนในทะเลดำ “เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งในฝั่งยูเครน” ตั้งแต่เที่ยงคืนตามเวลากรุงมอสโก หรือ 4.00 น. วันนี้ (20) ตามเวลาในประเทศไทย
กองทัพรัสเซียเปิดฉากยิงถล่มเมืองท่าโอเดซา (Odesa) ของยูเครนอย่างหนักในคืนวันจันทร์ (17) และคืนวันอังคาร (18) ส่งผลให้ท่าเรือขนส่งธัญพืช โรงงาน โกดังสินค้า ห้างสรรพสินค้า ที่พักอาศัย อาคารสำนักงานของรัฐ และรถยนต์จำนวนมากได้รับความเสียหาย ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ยูเครน
กองบัญชาการทหารภาคใต้ของยูเครนระบุว่า รัสเซียมีการใช้ขีปนาวุธเร็วเหนือเสียง (supersonic missiles) ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของท่าเรือในโอเดซา รวมถึงขีปนาวุธ Kh-22 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อโจมตีเรือบรรทุกเครื่องบิน
ท่าเรือ 3 แห่งในภูมิภาคโอเดซาเป็นจุดเดียวที่ยังคงเปิดให้มีการขนส่งลำเลียงสินค้าได้ในระหว่างที่เกิดสงครามขึ้น ตามข้อตกลงส่งออกธัญพืชยูเครนซึ่งได้หมดอายุลงไปแล้วเมื่อวันจันทร์ (17)
ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน แถลงเมื่อคืนวันพุธ (19) ว่า “ท่าเรือต่างๆ ที่ถูกโจมตีมีอาหารถูกกักเก็บอยู่ประมาณ 1 ล้านตัน... และนั่นคืออาหารที่ควรจะถูกส่งไปถึงมือผู้บริโภคในแอฟริกาและเอเชีย”
“ท่าขนส่งสินค้าซึ่งได้รับความเสียหายมากที่สุดมีผลิตผลทางการเกษตรราว 60,000 ตันที่รอการส่งออกไปจีน”
แอดัม ฮอดจ์ โฆษกสภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว ระบุว่า เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ได้ข้อมูลมาว่ารัสเซียวาง “ทุ่นระเบิด” เพิ่มเติมเอาไว้ในทะเล เพื่อสกัดเส้นทางเข้าสู่ท่าเรือต่างๆ ของยูเครน
“เราเชื่อว่านี่เป็นความพยายามที่จะอ้างเหตุโจมตีเรือพลเรือนในทะเลดำ และโทษว่าเป็นฝีมือของยูเครน” เขากล่าว
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ออกมาเตือนวานนี้ (19) ว่า การที่รัสเซียถอนตัวจากข้อตกลงเปิดทางส่งออกธัญพืชยูเครนจะยิ่งกระพือวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร และอาจทำให้ราคาอาหารพุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยากจน
ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียยืนยันว่า มอสโกพร้อมที่จะฟื้นข้อตกลงดังกล่าวขึ้นมาใหม่ หากมีการปฏิบัติตามเงื่อนไขว่าด้วยการเปิดทางส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารและปุ๋ยของรัสเซียด้วย
ที่มา : รอยเตอร์