มอสโกระบุในวันจันทร์ (17 ก.ค.) หน่วยงานความมั่นคงยูเครนใช้โดรน 2 ลำโจมตีสะพานเชื่อมรัสเซียกับไครเมีย ซึ่งเป็นเส้นทางสำคัญในการลำเลียงอาวุธและเสบียงไปสมรภูมิรบในยูเครน และหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเครมลินประกาศระงับเข้าร่วมข้อตกลงอนุญาตเคียฟส่งออกธัญพืชผ่านทะเลดำ แม้ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับการก่อการร้ายต่อสะพานดังกล่าว
คณะกรรมการการสอบสวนของรัสเซียแถลงว่า ยูเครนส่งโดรน 2 ลำโจมตีสะพานเคิร์ช ที่เชื่อมระหว่างรัสเซียกับคาบสมุทรไครเมียซึ่งรัสเซียเข้าผนวกเป็นส่วนหนึ่งของตนมาตั้งแต่ปี 2014 เมื่อเวลา 3.05 น. ของวันจันทร์ (17) ส่งผลให้สะพานได้รับความเสียหาย และสามีภรรยาคู่หนึ่งเสียชีวิต ขณะที่ลูกสาววัยรุ่นของทั้งคู่ได้รับบาดเจ็บ โดยทั้ง 3 คนอยู่ในรถยนต์ที่กำลังแล่นอยู่บนสะพานในเวลาที่โดรนโจมตี
เวลานี้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นสั่งระงับการใช้สะพานและแนะนำให้พวกนักท่องเที่ยวอยู่แต่ในที่พัก หรือไม่เช่นนั้นก็เดินทางกลับรัสเซีย
คณะกรรมการการสอบสวนของรัสเซียเสริมว่า กำลังตรวจสอบหาความเชื่อมโยงระหว่างคนจากหน่วยปฏิบัติการพิเศษของยูเครนและกองกำลังติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานดังกล่าว ซึ่งก่ออาชญากรรมคราวนี้ขึ้น
ด้านกองทัพยูเครนออกคำแถลงตามสูตรที่เคยทำมาทุกครั้ง ด้วยการระบุว่า การโจมตีสะพานเคิร์ชอาจเป็นการก่อเหตุมุ่งยั่วยุของฝ่ายรัสเซียเอง ทว่า สื่อเคียฟรายงานโดยอ้างแหล่งข่าวในหน่วยงานความมั่นคงว่า กองทัพเรือและหน่วยงานความมั่นคง (เอสบียู) ของยูเครน เป็นผู้ดำเนินการ “ปฏิบัติการพิเศษ” โดยใช้โดรนใต้ทะเลโจมตีสะพานเคิร์ช
รัสเซียถือว่า เหตุการณ์นี้เป็น “การก่อการร้ายครั้งที่ 2” ต่อสะพานแห่งนี้ ซึ่งเป็นโครงการที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผลักดันให้จัดสร้างขึ้น โดยครั้งแรกคือเมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ซึ่งมอสโกกล่าวหาว่า คีรีโล บูดานอฟ ผู้บัญชาการหน่วยงานข่าวกรองทางทหารของยูเครนอยู่เบื้องหลัง ขณะที่เคียฟเพิ่งจะยอมรับแบบอ้อมๆ ในอีกหลายเดือนถัดมา
หลังเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียแก้แค้นด้วยการระดมโจมตีเมืองต่างๆ ของยูเครน รวมถึงโรงไฟฟ้า และสั่งซ่อมแซมสะพานเคิร์ช และเมื่อการซ่อมแซมแล้วเสร็จ ปูตินยังขับเมอร์เซเดสข้ามสะพานด้วยตัวเอง
ทั้งนี้ รัสเซียระงับเที่ยวบินไปไครเมียนับจากเริ่มปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครน ทำให้สะพานเคิร์ชเป็นช่องทางเดียวที่เชื่อมต่อรัสเซียกับคาบสมุทรไครเมีย และสะพานนี้ยังเป็นเส้นทางสำคัญในการจัดส่งอาวุธและเสบียงให้กองกำลังรัสเซียในยูเครน
ข่าวการโจมตีสะพานเคิร์ชมีขึ้นขณะที่ข้อตกลงอนุญาตให้ยูเครนส่งออกธัญพืชผ่านทะเลดำกำลังจะหมดอายุในวันจันทร์ (17) โดยหลังเกิดเหตุไม่กี่ชั่วโมงเครมลินก็แถลงระงับข้อตกลงดังกล่าวที่มีสหประชาชาติ และตุรกีเป็นตัวกลาง
ข้อตกลงดังกล่าวซึ่งทำกันไว้ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว และมีการต่ออายุมาหลายครั้ง มุ่งหมายที่จะบรรเทาวิกฤตขาดแคลนอาหารทั่วโลก ด้วยการเปิดทางให้ธัญพืชยูเครนซึ่งถูกขัดขวางจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน สามารถส่งออกได้อย่างปลอดภัย โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ทางเจ้าหน้าที่ยูเอ็นตกลงช่วยให้รัสเซียสามารถส่งออกธัญพืชและปุ๋ยของตนได้เช่นกัน
แต่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกล่าวในคำแถลงเมื่อวันจันทร์ (17) ว่า ข้อเรียกร้องต่างๆ ของฝ่ายรัสเซีย ซึ่งรวมไปถึงการให้แดนหมีขาวสามารถส่งออกแอมโมเนียผ่านสายท่อส่งจากรัสเซียไปถึงเมืองท่าโอเดสซาของยูเครน และการทำให้รอสเซลคอซแบงก์ ที่เป็นธนาคารเพื่อการเกษตรแห่งรัฐของรัสเซีย กลับเชื่อมต่อเข้ากับระบบชำระบัญชีระหว่างประเทศ “สวิฟท์” ยังไม่ได้บังเกิดขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งนี้ รัสเซียพูดมาหลายเดือนแล้วในเรื่องที่ว่าไม่ได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่จะทำให้ตนต่ออายุข้อตกลงนี้ และดมิตริ เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวในวันจันทร์ ถ้าเงื่อนไขที่ฝ่ายรัสเซียเรียกร้องได้รับการปฏิบัติตาม ข้อตกลงนี้ก็สามารถดำเนินการได้ใหม่ในทันที
สำหรับสถานการณ์การสู้รบในยูเครนนั้น เคียฟอ้างในวันจันทร์ว่า สามารถชิงดินแดนรอบเมืองบัคมุต ทางภาคตะวันออกของประเทศคืนได้อีกหลายตารางกิโลเมตร
อย่างไรก็ดี ฮันนา มัลยาร์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหมยูเครน ยอมรับว่า กองกำลังรัสเซียรุกคืบในแคว้นคาร์คีฟ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นับจากปลายสัปดาห์ที่แล้ว
เคียฟเริ่มปฏิบัติการตอบโต้เพื่อชิงดินแดนคืนจากรัสเซียเมื่อเดือนที่ผ่านมา หลังจากรวบรวมอาวุธทันสมัยที่ได้จากตะวันตกและสร้างกองกำลังตอบโต้ กระนั้น เมื่อไม่นานมานี้ ยูเครนยอมรับว่าการสู้รบยากลำบากและขอให้อเมริกาและพันธมิตรส่งอาวุธระยะไกลเพิ่มให้
ขณะเดียวกัน ปูตินให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ว่า ความพยายามในการตอบโต้ของยูเครนล้มเหลวโดยสิ้นเชิง พร้อมเตือนว่า มอสโกมีคลังระเบิดลูกปราย หรือระเบิดพวง มากพอและสงวนสิทธิในการใช้อาวุธนี้เพื่อตอบโต้ หากยูเครนใช้ระเบิดชนิดนี้ที่เพิ่งได้รับจากอเมริกาเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี)