ฮื่ออ์อ์อ์...เห็นว่า “หุ้นไทย” พุ่งระเบิดเถิดเทิงไปถึง 18 จุด บวก 1.23 เปอร์เซ็นต์ หรือขึ้นไปถึง 1,512.67 จุด หลังรู้ข่าวว่าคุณหลาน “ทิม-พิธา” หัวหน้าพรรคก้าวไกล มีอันต้องเปิด “แห้วกระป๋อง” รับประทาน ในการลงมติ “เห็นชอบ-ไม่เห็นชอบ” ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (13 ก.ค.) ที่ผ่านมา ส่วนอะไรคือเหตุผลที่ทำให้บรรดา “เซียนหุ้น” เกิดอาการกระดี้กระด้าไปได้ถึงขั้นนั้นอันนี้...คงต้องลองไปสอบถามปรมาจารย์ด้านหุ้นอย่างคุณพี่ “สุนันท์ ศรีจันทรา” ผู้รับประทาน “น้ำตาล” เป็นอาหารว่าง อาหารหลัก ดูเอาเองก็แล้วกัน...
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...บรรดาผู้ที่เคยรวมตัวจัดทัวร์ไปลงไปถล่มประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมบัวหลวง จำกัด อย่างคุณ “วรวรรณ ธาราภูมิ” ด้วยเหตุเพราะท่านดันไปแซว ไปหยิกแกมหยอก โดยข้อความสั้นๆ เพียงแค่ว่า “ยกเลิกทุกนโยบายก้าวไกล-หุ้นจะเขียวทั้งกระดาน” อะไรประมาณนั้น เท่านี้...ก็เล่นเอารถทัวร์ รถกระบะ รถอีแต๋น รถซาเล้ง ฯลฯ ต่างหันไป “ทัวร์ลง” กันชนิดเป็นเทือกๆ แต่มาถึง ณ ขณะนี้...บรรดาเจ้าของรถทัวร์ในแต่ละคัน แต่ละราย น่าจะสำนึกบาป สำนึกกรรมได้มั่งแล้ว เพราะความแห้วกระป๋องของพรรคก้าวไกล ดูจะส่งผลให้กระดานหุ้นทั้งกระดานเขียวขึ้นมาจริงๆ!!!
อย่างไรก็ตาม...เอาเป็นว่า เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศทำนองนี้ เปิดฉากสัปดาห์นี้คงต้องขออนุญาตลองไปว่ากันถึงเรื่องการขึ้นๆ-ลงๆ ของความเป็นไปทางเศรษฐกิจในระดับโลก ที่ออกจะน่าเกลียด น่ากลัว มิใช่น้อย โดยเฉพาะถ้าหากมองกันในแง่ “หนี้สิน” ซึ่งทำท่าว่าจะท่วมโลก ล้นโลก ไปแล้วในทุกวันนี้ ดังที่สถาบัน “IIF” (The Institute of International Finance) เขาเพิ่งนำตัวเลขสถิติมาเปิดเผยเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาว่าปาเข้าไปถึง 305 ล้านล้านดอลลาร์หรือประมาณ 92 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งเป็นประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนา หรือบรรดาประเทศ “เศรษฐกิจใหม่” ทั้งหลาย ยิ่งน่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งขึ้นไปใหญ่ เพราะด้วยปริมาณหนี้สินที่มีจำนวนไม่น้อยกว่า 100 ล้านล้านดอลลาร์ ถ้าเทียบกับจีดีพีโดยรวมของบรรดาประเทศเหล่านี้แล้ว ก็ปาเข้าไปถึง 250 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีไปโน่นเลย...
หรือไม่ว่าจะทำมาหารับประทานในแต่ละปีได้มาก-น้อยขนาดไหน แต่ด้วยเหตุเพราะการสร้างหนี้ หรือการนำเงินในอนาคตมาใช้ก่อนล่วงหน้า ชนิดสูงกว่ารายได้แต่ละปีไปถึง 250 เปอร์เซ็นต์ โอกาสชดใช้หนี้สินให้มันทุเลา เบาบาง ลงไปให้จงได้ จึงเป็นอะไรที่ยากลำบากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ชนิดถึงกับประมาณการไว้ว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของประเทศที่มีรายได้ต่ำทั้งหลาย อาจถึงขั้นต้อง “สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง” หรือต้อง “ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย” ต้องชักดาบ ต้องผิดนัดชำระหนี้เป็นรายๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น อย่างน้อย..ก็ไม่ต่ำกว่า 52 ประเทศ ในหมู่บรรดาประเทศกำลังพัฒนาทั้งหลาย...
ยิ่งเมื่อเจอภาวะเงินเฟ้อ เจอกับความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระดับโลก ที่ทำให้จีน-รัสเซีย-อเมริกาและชาติตะวันตกต้องหันมาไล่ฟัด ไล่งับกันและกัน จนบรรดาความเชื่อมโยงในทางเศรษฐกิจต้องย่อยแยกแตกกระจายไปเป็นชิ้นๆ ยิ่งก่อให้เกิดผลกระทบหนักหนา-สาหัสยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางแต่ละชาติพยายามหยุดยั้งภาวะเงินเฟ้อด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ชนิดขึ้นแล้ว-ขึ้นอีก อย่างเช่นธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “FED” นั่นแหละตัวสำคัญที่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยแบบพรวดๆ พราดๆ จากระดับใกล้ๆ 0 เปอร์เซ็นต์ ปาเข้าไปกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ไปแล้วในทุกวันนี้ การหาเงินมาใช้หนี้ต่างประเทศ ที่จะต้องใช้กันด้วยเงินยูเอสดอลลาร์ เลยยิ่งกลายเป็นภาระหนักยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แม้จะหันไป “รัดเข็มขัด” ด้วยการปรับลดงบประมาณด้านต่างๆ ไม่ว่าสาธารณูปโภค สุขภาพ การศึกษา ฯลฯ ก็ยิ่งก่อให้เกิด “ปัญหา” ไม่ว่าทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ต่อประเทศชาตินั้นๆ อย่างชนิดซึมลึกยิ่งเข้าไปทุกที...
และจะด้วยเหตุนี้หรือไม่? อย่างไร? คงต้องไปคิดๆ กันเอาเอง ที่ทำให้ประเทศซึ่งกำลัง “กรอบ” ยิ่งกว่าข้าวเกรียบเมืองเพชรอย่างอาร์เจนตินา เลยต้องป่าวประกาศว่าจะใช้หนี้ “IMF” ประมาณ 100 ล้านดอลลาร์ด้วย “เงินหยวน” กันแทนที่ ส่วนอีก 1,700 ล้านดอลลาร์จะชดใช้ในรูปสินทรัพย์ที่สร้างโดย “IMF” หรือที่เรียกกันว่า “Special Drawing Rights” อันส่งผลให้การหาทางออก-ทางไปของอาร์เจนตินาในลักษณะเช่นนี้ เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งกระบวนการ “De-Dollarization” ไปในตัว หรือทำให้กระบวนการ “ละทิ้งเงินดอลลาร์” ของบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกนี้ ยิ่งดูเป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นจริง-เป็นจัง ยิ่งเข้าไปทุกที ส่วนจะถึงขั้นที่นำไปสู่ “จุดเริ่มต้นแห่งจุดจบ” ของเงินยูเอสดอลลาร์ในอนาคตหรือไม่? อย่างไร? อันนี้...คงต้องคอยติดตามกันไปเป็นระยะๆ...
เพราะด้วย “ขนาด” ของเศรษฐกิจอเมริกา ที่ยังต้องถือว่าใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยอิทธิพลการเมืองและบทบาทอันหลากหลายในตลาดโลก ด้วยความสะดวก ง่ายดาย ในการแปลงค่า หรือแปลงสภาพไปเป็นเงินสกุลอื่นๆ (convertible currency) และด้วยเหตุเพราะ “ทางเลือก” ในการหันไปใช้เงินตราสกุลอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยูเอสดอลลาร์ในระดับระหว่างประเทศ มันยังไม่มีอะไรที่โดดเด่น ชัดเจน ไปกว่าบทบาทของเงินยูเอสดอลลาร์ที่ครอบงำโลกทั้งโลกมานับไม่รู้กี่ต่อกี่ทศวรรษ ฯลฯ แม้ว่าการถือครองเงินยูเอสดอลลาร์ในฐานะทุนสำรองของธนาคารกลางต่างๆ จะลดลงจาก 70 กว่าเปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ. 2000 เหลือแค่ 59.7 เปอร์เซ็นต์ช่วงปลายปี ค.ศ. 2022 ตามตัวเลขสถิติของ “IMF” แต่ก็ต้องถือว่า...ยังคงมีฤทธิ์ มีเดช อยู่อีกนั่นแหละโอกาสที่จะนำไปสู่ “อวสานของเงินดอลลาร์” มันเลยอาจเป็นไปอย่างที่ผู้อำนวยการศูนย์ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจรัสเซีย (The Center for Economic Expertise) “ศาสตราจารย์Marcel Salikhov” ท่านตั้งข้อสังเกตไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุดว่าด้วยเรื่อง “Here’s how the end of US dollar’s global dominance will play out” ก็เป็นได้ นั่นก็คือ...ยังไงๆ มันคงต้องเกิดขึ้นแน่ๆ เพียงแต่อาจไม่ได้เป็นไปแบบปึงปังโครมคราม (It will happen, but not as a big-bang) เท่านั้นเอง...
ด้วยเหตุเพราะกระบวนการละทิ้งเงินยูเอสดอลลาร์...มันชักทำท่าว่ากำลังเป็นไปในระดับโลก หรือระดับ “The Global De-dollarization” ยิ่งเข้าไปทุกที อีกทั้งด้วยความก้าวหน้า ทันสมัย ของเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ๆ โดยเฉพาะการประดิษฐ์คิดค้น สกุลเงินแบบ “ดิจิทัล” โดยมีธนาคารกลางแต่ละประเทศรองรับ (Central bank’s digital currencies) ที่ช่วยให้เกิดการลดต้นทุนในการประกอบธุรกรรมทางการเงิน การปฏิสัมพันธ์โดยตรงระหว่างชาติต่อชาติ ยังเป็นตัวเร่งเร้าให้กระบวนการดังกล่าวมีโอกาสเป็นจริง-เป็นจังได้มากขึ้นๆ แม้จะเป็นไปในแบบค่อยๆ เป็น-ค่อยๆ ไปก็ตาม และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ “ธนาคารกลางรัสเซีย” เขาถึงได้เริ่มป่าวประกาศการทดสอบระบบเงินตราสกุลใหม่ หรือ “Digital Ruble” เมื่อช่วงวันพุธที่ผ่านมา (12 ก.ค) อันเป็นระบบการเงินที่จะถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการ นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมปีนี้ เป็นต้นไป ยิ่งไปกว่านั้น...รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ยังได้พยายามออกเดินสาย เพื่อชี้ชวน เชิญชวนใครต่อใครให้หันมา “De-Dollarization” อย่างเป็นงาน-เป็นการซะอีกด้วย เช่นระหว่างการประชุมประเทศอาเซียนที่อินโดนีเซียเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา รวมทั้งการประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” ระหว่างวันที่ 22-24 สิงหาคมเดือนหน้า ที่ว่ากันว่า...อาจมีการนำเสนอ “ทางเลือกใหม่ๆ” ที่จะนำไปสู่การ “De-Dollarization” อย่างเป็นเรื่อง-เป็นราวเอาเลยก็เป็นได้...
ส่วนใครก็ตาม...ที่ยังคงมั่นอก-มั่นใจ ยังคงยึดมั่น-ถือมั่นอยู่กับเงินยูเอสดอลลาร์อย่างสุดจิต-สุดใจอย่างน้อย...เพื่อช่วยให้เกิดการยับยั้งชั่งใจ เกิดสติ-ปัญญาขึ้นมาได้มั่ง แม้แต่เพียงเล็กๆ-น้อยๆ ก็ยังดี เอาเป็นว่า...ลองหันไปพลิกพระคัมภีร์ไบเบิล “บทวิวรณ์ 18:19” มาอ่านทวนไว้สักเที่ยว-สองเที่ยว โดยเฉพาะช่วงแห่งคำทำนายทายทักถึงอนาคตของมหานครแห่งหนึ่ง อันเป็นเสมือนศูนย์กลางแห่งความมั่งคั่งของโลกทั้งโลก ที่ถูกระบุไว้ในคำพยากรณ์ถึงขั้นว่า...“บรรดาพ่อค้าที่ได้ขายของจนเป็นคนมั่งมีเพราะนครแห่งนั้น จะยืนอยู่แต่ไกล เพราะกลัวภัยจากการทรมานของนครนั้น พวกเขาจะร่ำไห้คร่ำครวญด้วยเสียงดัง ว่า...วิบัติแล้ว วิบัติแล้วมหานครนั้น เพียงในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นก็พินาศสูญไปสิ้น และนายเรือทุกคน คนที่โดยสารเรือ พวกลูกเรือ และคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเลได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ และเมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้น ก็ร้องว่า...นครใดเล่าที่จะเป็นเหมือนนครนี้ แล้วเขาก็โปรยผงคลีบนศีรษะของตน พลางร้องไห้คร่ำครวญว่าวิบัติแล้ว วิบัติแล้วมหานครนี้ อันเป็นที่ซึ่งคนทั้งปวง ที่มีเรือกำปั่นเดินทะเล ได้เป็นคนมั่งมีด้วยทรัพย์สมบัติของนครนั้น ภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็เป็นที่ร้างเปล่า แน่ะ...เมืองสวรรค์ บรรดาธรรมิกชน อัครทูตและพวกผู้เผยวจนะทั้งหลาย จงร่าเริงยินดีเพราะนครนั้นเถิด เพราะพระเจ้าได้ทรงพิพากษาลงโทษนครนั้นให้ท่านทั้งหลายแล้ว...”