การเลือกตั้งนี้มีคนบอกว่าเป็นสงครามระหว่างรุ่นหรือเจเนอเรชันที่คนรุ่นใหม่นั้นต้องการการเปลี่ยนแปลง ที่เราเห็นชัดเจนก็คือ พวกเขาเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะหลงเชื่อจากปากคำที่พวกเขาถูกฝังหัวว่า พระมหากษัตริย์นั้นยังไม่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญและไม่อยู่เหนือการเมือง แบบที่พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไปตอบคำถามในรายการหนึ่งที่มีคนถามชงเพื่อให้แก้ข้อหาเรื่องล้มเจ้า ว่าพวกเขาไม่ได้ล้มเจ้าแต่ต้องการให้พระมหากษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ และอยู่เหนือการเมือง
แต่ความจริงที่เราทราบก็คือ พระมหากษัตริย์นั้นทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วตั้งแต่ถูกคณะราษฎรช่วงชิงอำนาจมาเป็นของตัวเองและพรรคพวกจนเกิดความขัดแย้งกันเอง และพระมหากษัตริย์ก็ทรงอยู่เหนือการเมืองอยู่แล้ว
ผมเข้าใจว่าที่พวกเขากล่าวหาว่าพระมหากษัตริย์ไม่อยู่เหนือการเมืองนั้น เพราะพระมหากษัตริย์ของไทยมีความใกล้ชิดกับประชาชนด้วยการมีโครงการพระราชดำริต่างๆ เพื่อช่วยพัฒนาบ้านเมืองให้ประชาชนกินดีอยู่ดี ซึ่งพวกนี้มองว่า พระมหากษัตริย์ไม่ควรจะมีพระราชดำริควรจะเป็นเรื่องของนักการเมืองหรือฝ่ายบริหาร และพระมหากษัตริย์ไม่ควรมีพระราชดำรัสโดยตรงกับประชาชนด้วย
แต่ถึงตอนนี้ต้องยอมรับว่า กระแสของพรรคก้าวไกลในหมู่คนรุ่นใหม่นั้นสูงมาก นอกจากนั้นกระแสยังลามมาถึงคนรุ่นเก่าจำนวนหนึ่งที่ความคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาที่อยู่มานาน 8 ปี คนรุ่นเก่าจำนวนหนึ่งก็เห็นดีเห็นงามไปตามลูกหลานของตัวเอง จนผมอดจะนึกถึงคำพูดไปที่ภาษิตฝรั่งว่า “คนหนุ่มสาวถ้าไม่เป็นกบฏก็ไม่มีหัวใจ แต่คนสูงอายุถ้ายังเป็นกบฏก็ไม่มีสมอง”
มีคนถามว่าหลังเลือกตั้งจะเป็นอย่างไร ถึงตอนนี้ก็ยังคงคิดอย่างที่ผมเชื่อคือ พรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลน่าจะมีเสียงรวมกันเกิน 250 ปิดทางขั้วปัจจุบันตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก
ตอนนี้กองเชียร์ก้าวไกลหวังว่าพวกเขาจะมาถล่มทลาย จากโพลต่างๆ ที่ออกมา บางโพลเชื่อว่าพวกเขาจะชนะพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำรัฐบาลด้วยซ้ำ แถมหลายโพลบอกว่า สองพรรครวมกันจะทะลุ 300 หรือกระทั่งไปไกลเกิน 400 ก็มี
แม้บรรยากาศของฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงจะฮึกเหิมกระตือรือร้นและเชื่อมั่นว่าจะชนะจริงตามโพล แต่ก็อดตั้งคำถามไม่ได้ว่าจะชนะกันถล่มทลายขนาดนั้นจริงๆ หรือ ส่วนตัวผมไม่เชื่อโพล ก็คงต้องรอดูของจริงหลังเย็นวันที่ 14 พ.ค.นั่นแหละ
ถ้าเพื่อไทยได้มาก พอจับมือกับพรรคภูมิใจไทย พรรคพลังประชารัฐ และพรรคอื่นในฝั่งเดียวกันเช่นพรรคไทยสร้างไทย พรรคประชาชาติ พรรคเสรีรวมไทย โดยไม่มีก้าวไกลได้สถานการณ์คงจะราบรื่น เพราะน่าจะได้เสียง ส.ว.ส่วนหนึ่งในสายพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณให้ไปถึง 376 เสียง จัดตั้งรัฐบาลได้
แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยได้มากสุดก็จริง แต่ไม่ได้มากจนทะลุ 200 เพราะถูกพรรคก้าวไกลแย่งไปได้มากก็ยากนะที่จะหาเสียงให้ถึง 376 เพราะ ส.ว.สายพล.อ.ประวิตรมีไม่พอ อันนี้ก็จะเหนื่อย เพราะจะบีบให้พรรคเพื่อไทยอาจต้องเอาพรรคก้าวไกลร่วม อันนี้ก็จะสุ่มเสี่ยงต่อความสุดโต่งของพรรคก้าวไกลที่จะคุมไม่ได้
สถานการณ์ตอนนี้พรรคเพื่อไทยคงไม่อยากเอาพรรคก้าวไกลร่วม ถ้าไม่จำเป็น เพราะทักษิณอยากกลับบ้าน
แต่ถ้าพรรคก้าวไกลมาที่หนึ่งก็เชื่อว่าจะไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ง่าย ยกเว้นว่าฝั่งอ้างประชาธิปไตยรวมถึงพรรคเพื่อไทยด้วย รวมกันได้ 376 ก็คงไม่เป็นปัญหา ถ้าพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำแล้วเพื่อไทยเป็นอันดับสองก็อาจยอมเข้าร่วม และมี ส.ว.จำนวนหนึ่งที่ประกาศว่าฝั่งไหนชนะจะยกมือให้แต่ ส.ว.กลุ่มนี้ หากจบลงอย่างนี้พิธาก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
จากนั้นพวกเขาก็คงแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 แก้รัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์เพื่อลดบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ ปฏิรูปกองทัพ ตัดงบประมาณ ฯลฯ และถ้าไปถึงขั้นนั้นก็คงเกิดคลื่นใต้น้ำทั้งจากมวลชนและฝ่ายความมั่นคง อาจจะไปสู่มิคสัญญีอีกครั้ง
แต่ถ้าพรรคก้าวไกลชนะพรรคเพื่อไทย แต่พรรคเพื่อไทยไม่ยอมร่วมรัฐบาลเพราะทักษิณไม่อยากเสี่ยงอยากกลับบ้าน พรรคก้าวไกลรวมเสียงยังไงก็ไม่ถึง 376 มีสองทางคือ สถานการณ์บีบให้พรรคที่เหลือจับมือกันเพื่อสกัดพรรคก้าวไกล จัดตั้งรัฐบาลกันเอง
หรือพรรคก้าวไกลชนะแต่ตั้งยังไงก็ตั้งไม่ได้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ก็รักษาการไป ตรงนี้ก็จะเกิดความวุ่นวาย เพราะมวลชนที่เลือกพรรคก้าวไกลก็คงจะออกมาเต็มถนน
ต้องยอมรับว่าการอยู่ในอำนาจยาวนานของพล.อ.ประยุทธ์นั้นก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้สถานการณ์ในขณะนี้เกิดกระแสของพรรคก้าวไกลขึ้นคำว่ามีลุงไม่มีเรานั้น มันโดนใจคนส่วนหนึ่งที่เกิดความเบื่อและอยากให้มีการเปลี่ยนแปลง
ผมเชื่อว่า ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีสิทธิอยู่ในตำแหน่งนายกฯ ได้อีกเพียง 2 ปีตามรัฐธรรมนูญ ประกาศจะวางมือทางการเมือง ก็อาจทำให้คนกลางที่กลัวความสุดโต่งของพรรคก้าวไกลอยู่แล้วไม่สวิงไปทางพรรคก้าวไกล แล้วฝ่ายอนุรักษนิยมหาคนอื่นมาต่อสู้กระแสพรรคก้าวไกลก็อาจไม่แรงขนาดนี้ แต่เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ประกาศจะขออยู่ต่อทำให้คนจำนวนมากที่อยากเปลี่ยนต้องตัดสินใจไปลงให้พรรคก้าวไกล
เรื่องความต้องการแก้หรือยกเลิกมาตรา 112 ถ้าจะแก้พวกเขาก็คงแก้ทำนองว่า ไม่ให้มาตรา 112 อยู่ในหมวดความมั่นคงที่ใครก็เป็นเจ้าทุกข์ไปแจ้งความได้ แต่ให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ แก้บทกำหนดโทษให้น้อยลงหรือไม่ก็ให้เป็นเพียงคดีทางแพ่ง แต่บางคนบอกว่าจะยกเลิกซึ่งคือพิธาเอง พวกนี้มักกล่าวอ้างว่ามีการเอามาตรา 112 ไปกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
ทั้งที่จริงๆ คนที่โดนมาตรา 112 เพราะไปกล่าวหาหยาบคายต่อพระมหากษัตริย์ไปเผาพระบรมฉายาลักษณ์ ถ้าไม่ไปทำอย่างนั้นก็จะไม่โดนมาตรา 112 และถ้าไปไล่ดูคดีที่ขึ้นสู่ศาลในระยะหลัง คนที่โดนคดี 112 หากไม่มีความผิดชัดแจ้งจริงศาลจะยกฟ้องทั้งนั้นซึ่งสะท้อนถึงการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นธรรม
ถ้าหากพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเข้าไปแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ แก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112 สิ่งที่ตามมาก็คือ จะมีคนไทยจำนวนมากที่จงรักภักดีและศรัทธาในสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาต่อต้าน ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นรัฐบาลพรรคก้าวไกลที่อ้างตัวว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยจะจัดการกับประชาชนอย่างไร และจะมีความขัดแย้งจนเกิดความรุนแรงขึ้นไหม
หากถามมีความเป็นไปได้ไหมที่ขั้วรัฐบาลเดิมจะชนะตามซูเปอร์โพลหรือโพลของฝ่ายความมั่นคง ผมก็แอบช่วยลุ้นนะ แต่ถ้าจะให้มองจากสถานการณ์บนความเป็นจริง ผมคิดว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นน้อยมาก หรือถ้าขั้วรัฐบาลเดิมชนะก็จะมีข้อกล่าวหาตามมาว่ารัฐบาลโกงเลือกตั้ง เพราะพวกเขาเชื่อตามโพลว่าจะชนะ
ประเทศไทยจะเป็นอย่างไรก็เป็นการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่ แต่มองถึงตอนนี้ไม่ว่าจะออกมาอย่างไรสถานการณ์หลังเลือกตั้งก็ยากที่จะนำความสู่ความสงบได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan