การเลือกตั้งล่วงหน้าผ่านไปแล้ว มีคนไปใช้สิทธิคึกคัก ทนกับสภาพอากาศร้อนจัดยืดเยื้อ ถ้าอยู่ในศูนย์การค้าก็ได้โอกาสพักผ่อนหย่อนใจ หย่อนบัตร ใช้เงิน ในบรรยากาศประชาธิปไตยแบบไทยๆ ซึ่งมีทั้งความพิสดารและพิลึกกึกกือ
กกต.ตกเป็นจำเลยสังคม ถูกกล่าวหาสารพัดว่ามีความผิดพลาด มีสื่อโซเชียลเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับ กกต.ส่อพฤติกรรมแฝงเร้น ทั้งที่มีประสบการณ์เลือกตั้งในปี 2562 มีงานเลือกตั้งไม่กี่ครั้ง อยู่แบบรากงอก ผลงานไม่เข้าตา มีแต่เรื่องอื้อฉาว
กกต.ก็ต้องรับไป ทุกอาชีพมีความเสี่ยงต่อการเสียชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือ
การเมืองบ้านเรามีกฎกติกาหยุมหยิม เรื่องเยอะ กกต.ถูกมองว่าไม่มีความสามารถกวดขันการซื้อเสียง มีหลายมาตรฐาน มีปัญหาเรื่องความเที่ยงธรรม
การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นศึกเดิมพันสูง พรรคใหญ่ผลประโยชน์มากจึงต้องทุ่มทรัพยากรสารพัดเพื่อให้ได้ใจชาวบ้าน มีเสียงกล่าวหาเรื่องการใช้วิชามาร การใช้ข้อมูลเท็จ ข้อมูลลวง หรือปฏิบัติการไอโอ information operations
ถ้าเป็นการชกมวย ไม่มีการคำนึงถึงกติกา มีชกใต้เข็มขัด ใช้นิ้วทิ่มตา พ่นน้ำลายใส่หน้า ดึงผมจิกหัว กัดหู กัดจมูกสารพัดวิธี กรรมการห้ามไม่ทัน หรือไม่เห็น
ประชาธิปไตยบ้านเราเสรีภาพเบ่งบานสุดขีด ไม่จำกัดจำนวนคู่แข่ง
โปรดรับรู้ไว้ด้วยว่า เรามี 67 พรรคเข้าชิงคะแนนเสียงของประชาชน จากจำนวนกว่า 100 พรรคที่จดทะเบียนกับกรรมการการเลือกตั้ง ว่ากันตามภาษาการเมือง พรรคเหล่านี้เป็นตัวแทนของอย่างน้อย 67 อุดมการณ์ จุดยืนหรืออะไรก็แล้วแต่
ซ้ำซ้อนกันหรือไม่ ยุบรวมกันได้หรือไม่ ไม่มีใครไปนั่งศึกษาพิจารณา อนุมานได้ว่าแต่ละพรรคคิดว่าตัวเองจะต้องได้เสียงมากพอ หลอกตัวเองหรือไม่ ไม่ต้องคิด
ให้กรรมการการเลือกตั้งทั้ง 6 ท่านไล่ชื่อพรรคให้ครบ ไม่เรียงลำดับก็ได้ คงยาก หรือใครสามารถสามารถจำชื่อพรรคได้ครบ ต้องเป็นคนเหนือมนุษย์ ความจำเยี่ยม
มีแบ่งด้วยนะ ว่าเป็นฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายประชาธิปไตย ฟังแล้วดูโก้สูงส่ง อดถามไม่ได้ว่าฝ่ายอนุรักษนิยมนั้นไม่ใช่เป็นประชาธิปไตยหรืออย่างไร ชั่วร้ายมากหรือ
ถ้าจะคิดแบบ cynical หรือประชดแดกดัน ต้องถามว่าฝ่ายประชาธิปไตยนั้นเหนือกว่าอนุรักษนิยมอย่างไร ในการเมืองน้ำเน่านั้นการหาเสียงทำเหมือนกัน คืออวดอ้างสรรพคุณ ทั้งพวกที่อยู่ฟากรัฐบาล และพวกที่ยังไม่เคยเป็นรัฐบาล
เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น ขี้ตัวเองหอม ขี้คนอื่นเหม็น การเมืองบ้านเราที่มีแต่การทุจริต คอร์รัปชันหนัก มีแต่พรรคโกงมาก โกงน้อย ชั่วมาก ชั่วน้อย
เป็นฝ่ายอนุรักษนิยม หรือฝ่ายประชาธิปไตย มีเป้าหมายเหมือนกันคือต้องการอำนาจ ได้กุมอำนาจรัฐ นี่ก็เป็นเป้าหมายผลประโยชน์ของทุกพรรค ปฏิเสธไม่ได้
การหาเสียงต้องบอกว่าจะทำดีเพื่อบ้านเมือง ผลประโยชน์ของประชาชนมีข้อเสนอเชิงซื้อเสียงล่วงหน้าผ่านโครงการสารพัด นอกจากใช้เงินสดซื้ออย่างที่รู้กัน
มีทั้งจ่ายเป็นรายหัว ซื้อเหมายกครัว แต่ทุกพรรคปฏิเสธว่าไม่ซื้อเสียง
ตั้งแต่ปี 2475 มี “ประชาธิปไตย” สลับกับรัฐบาลทหาร พลเรือน ถ้าประเทศไทยมีรัฐบาลที่ดีพอ มือสะอาดพอ 50 เปอร์เซ็นต์ บ้านเมืองเราคงไม่เป็นเช่นนี้
มีรัฐบาลปลอดโกง เช่นไม่มีโอกาสได้โกง อายุสั้นเกินไป เป็นรัฐบาลชั่วคราวยังโกงไม่เป็น ส่วนใหญ่ ถ้าอยู่ยาวยิ่งโกงมาก ใช้การขยายเครือข่าย กลุ่มผลประโยชน์
การเลือกตั้งคือการแย่งชิงโอกาสเพื่อหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐ การเข้าคูหากาเบอร์แต่ละครั้ง ประชาชนไปใช้สิทธิ ไม่ว่าจะเป็นเสียงบริสุทธิ์หรือเสียงที่ซื้อ ถือว่านำบ้านเมืองสู่ความเสี่ยง อนาคตไม่แน่นอน จากพื้นฐานที่มีปัญหาสะสมเรื้อรัง
รัฐบาลใดก็ตามที่จะเป็นผลของการเลือกตั้งวันที่ 14 เดือนนี้ ไม่ส่งสัญญาณว่าบ้านเมืองจะดีขึ้น ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม หรือฝ่ายประชาธิปไตย หรือต้องผสมกัน
ผลประโยชน์จะทำให้ร่วมกันได้ จำไว้ว่าแต่ละพรรคการเมืองหาเสียงไว้อย่างไร ว่าจะไม่รวมกับพรรคนั้น พรรคนี้ นั่นคือการโกหก หลังจากเลือกตั้ง ถ้าต้องร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล จะอ้างหน้าตาเฉยว่า “เพื่อให้บ้านเมืองได้ไปต่อ” ตอแหลเพื่อชาติทั้งนั้น
การชิงอำนาจในโค้งสุดท้าย เห็นการปล่อยวิชามาร ยุทธวิธีต่างๆ มีเสียงเพลง “หนักแผ่นดิน” ย้อนไปก่อนยุค 6 ตุลา 2519 “ขวาพิฆาตซ้าย” มีวาทกรรมสร้างความแตกแยก เช่น “ชังชาติ” “รักสถาบัน” “ล้มเจ้า” เหมือนยุค “ไม่เลือกเราเขามาแน่”
คนบ้านเราจึงมีประเภท “คนอย่างกูมีศักดิ์ศรีนะโว้ย” “เงินซื้อคนอย่างกูไม่ได้” ผสมกับสโลแกน “เงินไม่มา กาไม่เป็น” “เงินไม่มา ขาไม่เดิน” “เสียงมีไว้ขาย”
มันควรจะเป็นรูปแบบ “นักการเมืองที่ดี ย่อมไม่โกหก ไม่ใช้เงินซื้อเสียง” มีหรือไม่นักการเมือง นักเลือกตั้งหาเสียงโดยไม่โอ้อวดสรรพคุณ ยังดีที่ไม่อ้างว่าเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่หายหัวหายตัวได้ หลังจากชนะเลือกตั้ง ทำมาแล้วทุกยุค
ฝ่ายอนุรักษนิยมชนะ ก็มีปัญหา ฝ่ายประชาธิปไตยชนะก็มีปัญหาเช่นกัน “ฝ่ายสูญเสียอำนาจ” และ “ฝ่ายสูญเสียโอกาสได้อำนาจ” ต้องออกฤทธิ์เพื่อผลประโยชน์
ท่านห้าวเป้งมีเดิมพันสูง ดิ้นรนอยู่ต่อให้ได้ เปรยว่า “อย่าให้บ้านเมืองเกิดกลียุค” เหมือนกับว่า “บ้านเมืองสงบ จบที่ลุงตู่” ไม่มองว่าตัวเองก็เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง อ้างว่าทำรัฐประหารเพื่อไม่ให้คนฆ่ากัน ที่แท้ตัวเองกุมอำนาจนานกว่า 8 ปี
ช่วงการหาเสียง นักเลือกตั้งต้องพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี คำโบราณว่า “ลิ้นไม่มีกระดูก เชื่อถือไม่ได้” เพียงเรื่องค่าไฟฟ้าแพง น้ำมันแพง ก็เห็นการโกหกซึ่งหน้า
ช่วงค่ำวันเลือกตั้ง จะเห็นการวิ่งตีนขวิด ต่อรองชิงตั้งรัฐบาล บ้านเมืองจะเข้าสู่สภาวะความไม่แน่นอนท่ามกลางปัญหาเศรษฐกิจหมักหมม จะรอดหรือไม่ ได้แต่หวัง
อย่ามาว่า “มองโลกในแง่ร้าย” การเมืองอย่างนี้ ไม่มีช่องทางให้มองในแง่ดีได้