xs
xsm
sm
md
lg

โทนี่ก้นร้อน-เล่นกับไฟ ลุ้นเฮือกสุดท้าย!?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ทักษิณ ชินวัตร -แพทองธาร ชินวัตร -พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
เมืองไทย 360 องศา

กลายเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองขึ้นมาทันที สำหรับการโพสต์ล่าสุดของ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ออกมาประกาศว่า เขาจะกลับไทยภายในไม่เกินกรกฎาคมปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่า การออกมาแบบนี้ โดยเฉพาะในช่วงเข้าทางตรงก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน และยังเป็นช่วงที่พรรคเพื่อไทย กำลังถูกไล่บี้จากบางพรรคที่เคยอ้างว่า เป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ด้วยกันมา และทำท่าว่ากำลังเพลี่ยงพล้ำ ทุกอย่างอาจพังครืนก็เป็นได้ และนี่อาจเป็นการ “ทิ้งไพ่” ครั้งสำคัญของเขา เพื่อหวังผลการเลือกตั้งก็เป็นไปได้สูงมาก ขณะเดียวกัน ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายเศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ก็ให้สัมภาษณ์ ว่า หากได้เป็นนายกรัฐมนตรี จะมีการร้องขอให้มีการปล่อยตัวผู้ที่ถูกดำเนินคดีที่เกี่ยวกับมาตรา 112 และพร้อมที่จะแก้ไขกฎหมายดังกล่าวอีกด้วย

นายทักษิณ ชินวัตร โพสต์ทวิตเตอร์เช้าวันที่ 9 พฤษภาคม ข้อความระบุว่า “ผมขออนุญาตอีกครั้ง ผมตัดสินใจแล้วว่าจะกลับบ้านไปเลี้ยงหลานภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ก่อนวันเกิดผมครับ ขออนุญาตนะครับ เกือบ 17 ปีแล้ว ที่ต้องพลัดพรากจากครอบครัว ผมก็แก่แล้วครับ”

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เขาเคยได้ทวีตข้อความระบุว่า “เช้าวันนี้ ผมดีใจมากที่ได้หลานคนที่ 7 เป็นชาย ชื่อ ธาษิณ จากน้องอิ๊งค์ แพทองธาร หลานทั้ง 7 คน คลอดในขณะที่ผมต้องอยู่ต่างประเทศ ผมคงต้องขออนุญาตกลับไปเลี้ยงหลาน เพราะผมอายุจะ 74 ปี กรกฎานี้แล้ว พบกันเร็วๆ นี้ ครับ ขออนุญาตนะครับ“”

เวลา 10.26 น. วันเดียวกัน นายทักษิณ ทวีตข้อความอีกครั้ง ว่า “ไม่ต้องกังวลว่าผมจะเป็นภาระพรรคเพื่อไทย ผมจะเข้าสู่กระบวนการกฎหมาย และวันที่ผมกลับยังเป็นช่วงรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ ทั้งหมดคือ การตัดสินใจของผมเองด้วยความรักผูกพันกับครอบครัว/แผ่นดินเกิด และเจ้านายของเรา”

ก่อนหน้านั้น เมื่อช่วงค่ำวันที่ 8 พฤษภาคม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายเศรษฐา ทวีสิน สองแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย (พท.) ร่วมกันให้สัมภาษณ์ออกรายการผ่านทาง TikTok และ Instagram Live หัวข้อ “หมดเปลือกเพื่อไทย” โดยมี นายคชาภา ตันเจริญ หรือ “มดดำ” เป็นผู้ดำเนินรายการ และถามคำถามแทนประชาชนที่ส่งมาตามช่องทางต่างๆ

ช่วงหนึ่ง “มดดำ” ถามว่า ทุกคนพูดถึงจุดยืนเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 ของพรรคเพื่อไทย น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า แน่นอนเราไม่ยกเลิกมาตรา 112 แต่เราต้องมาคุยกันในสภา เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อน และหากเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะขอความเมตตาต่อศาล ว่า มีน้องๆ และผู้เห็นต่างทางการเมืองหลายคนที่ติดอยู่ในนั้น ขอให้มีการปล่อยตัว และต้องมีการแก้ไขระเบียบ ต้องกำหนดว่าใครเป็นคนฟ้อง อัตราโทษเราไม่สนับสนุนเอามาใช้เป็นเกมการเมือง เราต้องมีกฎหมายคุ้มครองประมุขรัฐ แต่ไม่เอามาใช้เป็นเกมการเมือง ต้องฟังเสียงประชาชน

ด้าน นายเศรษฐา กล่าวว่า ถ้าเราเป็นรัฐบาล ก็ต้องดูการประกันตัว เพื่อต่อสู้ได้อย่างเป็นธรรม แต่คู่ขนานกันไปคนรุ่นใหม่กังวลมาก แต่พรรคเพื่อไทยเน้นการทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีกินดี การสมัครใจเป็นทหาร การสมรสเท่าเทียม การทำงานกับความสามารถ ถ้าเราดูแลปัญหานี้ได้ แต่ปัญหา ม.112 อาจถูกลดทอน แต่พวกเขาไม่สบายใจ ก็ต้องมีเปิดพื้นที่รับฟัง
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากทั้งสองเหตุการณ์ทั้งเรื่องราว และคนพูดล้วนมีความเชื่อมโยงถึงกันอย่างใกล้ชิด และหากมองในมุมการเมืองแล้วก็มองได้อย่างชัดเจน ทั้งเนื้อหา และจังหวะเวลา โดยที่ไม่ต้องอธิบายกันมาก ก็พอเข้าใจได้อยู่แล้ว
หากพิจารณากันจากบรรยากาศ การเคลื่อนไหว รวมไปถึงผลสำรวจที่ออกมา ไม่ว่าจะเชื่อถือได้แค่ไหน แต่มันก็ทำให้มองเห็นแนวโน้มว่า พรรคเพื่อไทย กำลังถูก “ไล่บี้” มาจากฝั่งเดียวกัน คือ พรรคก้าวไกล บางโพลถึงขนาดว่า พรรคก้าวไกลแซงหน้าเพื่อไทยไปแล้ว และคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ก็คือ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ มากกว่า “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย

ที่ผ่านมา น.ส.แพทองธาร และ นายเศรษฐา ก็พยายามแก้เกมในเรื่อง “ความไม่ชัดเจน” ในเรื่องท่าทีว่า “ไม่จับมือกับสองลุง” รวมไปถึงไม่พูดถึงเรื่อง มาตรา 112 ทำให้เสียงสนับสนุนบางกลุ่ม โดยเฉพาะคนเสื้อแดงบางส่วน และเด็กๆ รุ่นใหม่ที่เป็น “นิวโหวตเตอร์” เทไปทางพรรคก้าวไกล ซึ่งหากการเมืองแบ่งเป็น “สองขั้ว” ฐานเสียงจากทั้งสองพรรคดังกล่าว ก็ย่อมอยู่ในฝั่งเดียวกันก็ย่อม “ตัดกันเอง” นั่นคือ หากก้าวไกลเติบโต ก็ย่อมหมายถึงพรรคเพื่อไทยหดตัวลงไปเท่านั้น

และอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้ตามเวทีหาเสียงหลักๆ รวมทั้งในโซเชียล ทั้งสองพรรคต่างเปิดศึกฟาดฟันกันอย่างเข้มข้น ซึ่งพิจารณาจากสาเหตุก็ต้องเริ่มมาจากคนในพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร นั่นแหละที่ประกาศเป้าหมาย “แลนด์สไลด์” จาก 250 มาเป็น 310 เสียง เร่งเร้าให้เลือกให้ขาด พร้อมตัดญาติขาดมิตรกับพวกเดียวกัน ไม่ว่าคำพูดที่ว่า “ไม่มีพรรคพี่ พรรคน้อง” ไม่มีเลือกพ่วง อะไรประมาณนี้ คือ “บีบให้เลือกเพื่อไทย” พรรคเดียว ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็มั่นใจว่าทำได้ เพราะเชื่อว่าฐานเสียงเดิมยังคงอยู่

แต่กลายเป็นว่า ทุกอย่างเป็นตรงกันข้าม อาจเป็นเพราะความไม่ชัดเจนตั้งแต่แรก ในเรื่อง “สองลุง” รวมไปถึงการเลี่ยงไม่พูดถึง มาตรา 112 ทำให้ฐานเสียงหันหลังให้ และคนรุ่นใหม่ “พวกสามนิ้ว” ไหลไปทางก้าวไกลจนกลายเป็นกระแสในฟากนั้น ที่อ้างว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” และ “เสรีนิยม” ในความหมายของพวกเขา

ด้วยเหตุนี้หรือเปล่าทำให้ “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ถึงกับนั่งไม่ติด ต้องรีบออกมาโพสต์รัวๆ กำหนดวันกลับไทย และเข้ามาแบบ “ยอมติดคุก” ภายในเดือนกรกฎาคม ก่อนวันเกิดของเขา ความหมายที่บรรดา “คอการเมือง” มองออกก็คือ มีเจตนาปลุกเร้าบรรดามวลชน ฐานเสียงเดิมให้กลับมาเพื่อไปถึงเป้าหมายที่สำคัญ ก็คือ ต้องการกลับมาเป็นรัฐบาลให้ได้ หลังจากปล่อยให้ไหลไปทางพรรคก้าวไกลไปแล้ว รวมไปถึงคำพูด ของ “อุ๊งอิ๊ง” และ เศรษฐา ที่เน้นย้ำในเรื่อง มาตรา 112 และการปล่อยตัวคนที่ถูกดำเนินคดี หากได้เป็นรัฐบาล ซึ่งต้องการเรียกกลับมาในช่วงโค้งสุดท้ายนั่นแหละ
แม้ว่าเอาเข้าจริงก็ยังไม่ชัวร์ว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว นายทักษิณ ชินวัตร จะกลับมาจริงหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ ก็เคยพูดหลายครั้งแล้วว่าจะกลับมา เช่น บอกว่าจะกลับมาเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็ไม่มา อ้างเรื่องความปลอดภัย เรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่คราวนี้มันน่าจะเข้าลักษณะก้นร้อน “นั่งไม่ติด” จึงต้องออกมา “ทิ้งไพ่” ยอมเสี่ยงกับ “ของร้อน” เหมือนกับ “ดิ้นเฮือกสุดท้าย” ส่วนจะได้ผลแค่ไหน เพราะมันอาจไม่ขลังเหมือนเดิม หรืออาจส่งผลตรงกันข้ามทำให้กลายเป็น “ปลุก” ให้อีกฝั่งหันมารวมพลังเทเสียงให้ “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แบบถล่มทลายก็ได้ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น