xs
xsm
sm
md
lg

สังคมไทยพร้อมหรือยัง ที่จะมีนายกรัฐมนตรีชื่อพิธา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

เชื่อไหมครับ โพลมติชน-เดลินิวส์ พรรคก้าวไกลจะได้ส.ส.มากถึง 242.17 คน และพรรคเพื่อไทยจะได้ส.ส.รองลงมาคือ 176.77 คน สองพรรคนี้จะมีส.ส.รวมกันถึง 418.94 คน สามารถจัดตั้งรัฐบาลสองพรรคได้เลยและจากโพลนี้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์จะเป็นนายกรัฐมนตรี

นอกจากนั้นพรรคอื่นๆที่เหลือจะได้ส.ส.น้อยมากคือ พรรครวมไทยสร้างชาติได้ 29.05 คน พรรคพลังประชารัฐได้ 13.22 คน พรรคชาติพัฒนากล้าได้ 7.84 คน พรรคประชาธิปัตย์ได้ 5.77 คน พรรคไทยสร้างไทยได้ 5.21 คน พรรคภูมิใจไทยได้ 4.78 คน พรรคเสรีรวมไทยได้ 3.05 คน พรรคชาติไทยพัฒนาได้ 1.3 คน

เป็นไปได้เหรอที่พรรคภูมิใจไทยจะได้ส.ส.ประมาณ 5 คน ทั้งที่จังหวัดบุรีรัมย์จังหวัดเดียวที่เป็นของตายก็มีส.ส. 10 คนแล้ว ยังไม่นับจังหวัดอื่นนับแค่บุรีรัมย์จังหวัดเดียวก็มีโอกาสว่าโพลนี้จะผิดจากความเป็นจริงไปแล้ว 100% ในขณะที่โพลบอกว่า พรรคประชาธิปัตย์จะได้ส.ส.เพียง 6 คน เป็นไปได้หรือแม้แต่ภาคใต้ภาคเดียวพรรคประชาธิปัตย์ก็น่าจะได้ส.ส.มากกว่าที่โพลคาดการณ์หลายเท่า

ถ้าพอจะมีหลักคิดอยู่บ้างคงไม่มีใครเชื่อว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาตามโพลมติชน-เดลินิวส์ว่ามา ถามจริงเถอะว่าคนที่ทำโพลและหน่วยงานที่ทำโพลเชื่อว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาตรงกับโพลของตัวเองไหม

แต่เอาเป็นว่า เราลองมาดูว่าหากพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีในความเป็นจริงไม่เป็นนายกรัฐมนตรีของโพลนั้นประเทศไทยจะเป็นอย่างไรถ้าได้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

ต้องยอมรับว่านอกจากพิธาที่เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว บุคคลที่มีอิทธิพลในพรรคก็คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และปิยบุตร แสงกนกกุล  สองคนนี้เหมือนกับเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรค และเป็นคนที่คนรุ่นใหม่จำนวนมากให้ความยกย่องว่าเป็นเสมือนศาสดาทางความคิดของพวกเขา และชัดเจนว่าทั้งสองคนนั้นมีความคิดที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีเป้าหมายคือ การลดทอนบทบาทและสถานะของพระมหากษัตริย์ แต่เชื่อกันว่า เป้าหมายของการปฏิรูปที่พวกเขาบอกว่าคือการทำให้ดีขึ้นนั้นเป็นเพียงขั้นบันไดที่จะไปสู่เป้าหมายที่แท้จริงที่พวกเขาต้องการ

 ปิยบุตรพูดหลายครั้งว่า ถ้าไม่เอาการปฏิรูปหรือหากฝ่าฝืนสุดท้ายจะไปจบลงด้วยการปฏิวัติซึ่งมีความหมายว่าการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ปิยบุตรมักพูดเสมอว่าต้องทำให้พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทั้งที่ความจริงพระมหากษัตริย์ของไทยนั้นอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาแล้วตั้งแต่ปี 2475

และแน่นอนว่าเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือ การแยกพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน ให้พระมหากษัตริย์ไม่สามารถมีพระราชดำริต่อแนวทางการพัฒนาประเทศและไม่สามารถมีพระราชดำรัสต่อประชาชน

ปิยบุตรเคยกล่าวว่า สถาบันกษัตริย์จำเป็นต้องปรับตัวให้อยู่ได้กับประชาธิปไตย โดยแยกการใช้อำนาจจากรัฐให้เป็นเพียงหน่วยทางการเมืองหน่วยหนึ่ง ซึ่งทำให้กษัตริย์ไม่สามารถใช้อำนาจใด ๆ ผ่านรัฐได้อีกต่อไป โดยในทางรูปธรรมนั้นหมายถึงการไม่อนุญาตให้กษัตริย์สามารถทำอะไรเองได้ เนื่องจากผู้ที่รับผิดชอบคือผู้สนองพระบรมราชโองการ รวมถึงการไม่อนุญาตให้กษัตริย์แสดงพระราชดำรัสสดต่อสาธารณะ และต้องสาบานต่อรัฐสภาในฐานะประมุขว่าจะพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญ เป็นต้น

ปิยบุตรบอกว่า เมื่อการปฏิรูปไม่ได้ทำลายสิ่งที่ดำรงอยู่ลงไป การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้จึงต้องเกิดจากความเห็นพ้องต้องกันจากสิ่งที่ดำรงอยู่ด้วยว่าพร้อมยินยอมให้ปฏิรูปหรือไม่ หากสิ่งที่ดำรงอยู่ยินยอม การปฏิรูปก็จะบังเกิดขึ้น ตรงกันข้าม หากสิ่งที่ดำรงอยู่ไม่ยินยอม ขัดขวางไม่ให้เกิดการปฏิรูป พลังของฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงรุกคืบ กระแสสูง เสียงเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงก็จะเดินหน้า จน “ปฏิรูป” ไม่เพียงพออีกแล้ว สายเกินการณ์แล้ว “ปฏิรูป” ก็จะเปลี่ยนเป็น “ปฏิวัติ”

นั่นหมายความว่า เขาต้องการบอกว่าหากขัดขืนข้อเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพวกเขาแล้วจะต้องถูกล้มล้างในที่สุด

ปิยบุตรยังใช้ฐานะทางวิชาการของเขาพูดถึงการปฏิวัติฝรั่งเศสและปฏิวัติรัสเซียที่มีการโค่นล้มระบอบกษัตริย์เพื่อเป็นนัยสะท้อนถึงระบอบกษัตริย์ของไทยอย่างต่อเนื่อง เพื่อปลุกปั่นให้ผู้ฟังใช้การปฏิวัติฝรั่งเศสและรัสเซียเป็นหมุดหมายในการที่จะบรรลุเป้าหมายไปสู่ความมุ่งหวังที่ต้องการ

เป้าหมายของพวกเขาไปไกลกว่านั้นแน่ เมื่อไม่กี่วันก่อนมีคนแชทไลน์ของพรรคก้าวไกลมาเผยแพร่ ปิยบุตร ส่งข้อความว่า ปี 63 คือการ normalisation เรื่องการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้พูดได้เป็นเรื่องปกติ ปี 64 คือ การทำงานความคิด เปลี่ยนใจคนเพิ่ม หาพวกเพิ่ม ศิลปะของการเมือง คือ การทำให้ความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง กลายเป็นฉันทามติของสังคม

 สิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จแล้วคือ ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากเชื่อในแนวทางของพวกเขา ทำให้คนหนุ่มสาวจำนวนมากมองว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสิ่งไม่จำเป็นในระบอบประชาธิปไตย และคนหนุ่มสาวจำนวนมากออกมาท้าทายต่อมาตรา 112ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แน่นอนเป้าหมายของพวกเขาในขณะนี้คือเรียกร้องให้มีการปฏิรูป โดยเริ่มจากการแก้ไขมาตรา 112 และแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ แต่ความมุ่งหวังที่ลึกๆ ของพวกเขาต้องการมากกว่านั้นคือการเปลี่ยนแปลงระบอบของรัฐไปสู่แนวทางสาธารณรัฐ

แม้บทบาททางความคิดของพรรคก้าวไกลจะมีปิยบุตรเป็นผู้บ่มเพาะ แต่ผู้สนับสนุนคนสำคัญและมีบทบาทในการขับเคลื่อนก็คือธนาธร ที่เขาสามารถผลักตัวเองให้มาเป็นไอดอลของคนรุ่นใหม่ และเป็นนายทุนที่แท้จริงในการเคลื่อนไหวทั้งการขับเคลื่อนพรรคการเมือง และเป็นผู้ก่อตั้งสำนักคิดฟ้าเดียวกันเพื่อถ่ายทอดอุดมการณ์ไปสู่สังคม

ธนาธรนั้นทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากเชื่อในความคิดของเขาว่า ศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจะต้องยึดมั่นถือมั่นไม่ว่า ศาสนาใดก็ตาม เหมือนที่เขาเคยพูดว่า ผมคิดว่าทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุณก็คุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า สิ่งที่ผมเชื่อก็คือศรัทธาทางศาสนาควรจะเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับหรือเชิดชูความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่นๆ

นอกจากนั้นมีความเป็นไปได้สูงมากที่หากพรรคก้าวไกลเป็นแกนนำรัฐบาลแล้วประเทศไทยจะเข้าไปยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองของเพื่อนบ้านดังเช่นที่ธนาธรแสดงออกอย่างชัดเจนถึงการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมในพม่า และในฮ่องกง โดยพยายามเรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงจุดยืนออกมาเพื่อสนับสนุนผู้ชุมนุม หรือการสนับสนุนเอกราชของไต้หวันจนขัดแย้งกับรัฐบาลจีน หรือนำประเทศไทยไปสู่การเลือกข้างตามแนวทางของตะวันตกในสงครามยูเครนกับรัสเซีย

ในวันนี้ผู้นำทางความคิดของฝ่ายเขาหลายคนยังพูดถึงการไม่จำเป็นต้องมีบุญคุณต่อครูบาอาจารย์ ไม่ต้องมีบุญคุณต่อพ่อแม่ ไม่ภูมิใจในความเป็นไทยเพราะมองว่าเป็นสิ่งที่ล้าหลังและฉุดรั้งความก้าวหน้าของพวกเขา

แน่นอนว่าแม้ธนาธรและปิยบุตรจะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง แต่บทบาทในพรรคก้าวไกลก็ยังถูกครอบงำโดยทั้งสองคน แม้ว่าพรรคก้าวไกลจะมีพิธาเป็นหัวหน้าพรรคและจะเป็นนายกรัฐมนตรีถ้าผลจากโพลของมติชนและเดลินิวส์เป็นความจริงไม่ใช่ความลวง ประเทศของเราก็จะถูกนำไปสู่ความสุ่มเสี่ยงที่พวกเขาต้องการ ข้อเรียกร้องต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของพวกเขานั้นจะนำมาสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงในชาติ

ตอนนี้โพลของสื่อมวลชนบอกว่า พรรคของพวกเขาจะกลายเป็นพรรคที่ได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่ง ไม่ว่าโพลนั้นจะอวยเพราะสื่อที่เป็นเจ้าของโพลจะมีจุดยืนทางการเมืองสอดคล้องกันหรือไม่ก็ตาม

ส่วนพิธาที่จะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีตามโพล เมื่อไม่กี่วันก่อนมีการพูดถึงการให้สัมภาษณ์ถึงงานศพพ่อของเขาสองครั้งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ครั้งหนึ่งสัมภาษณ์ตอนที่เขายังไม่เข้าสู่การเมือง ครั้งหลังสัมภาษณ์เมื่อเขาก้าวขึ้นมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี สิ่งที่สังคมจับได้ก็คือ คำพูดของเขานั้นเป็นเรื่องเท็จจากบริบทและข้อเท็จจริงที่ยืนยันจากผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่เขากล่าวถึง

 สุดท้ายแล้วพิธาจะเป็นนายกรัฐมนตรีโพลจากการปั่นของสื่อแบบที่ธนาธรเคยรับตำแหน่งนี้มาแล้วหรือเป็นนายกรัฐมนตรีในความเป็นจริง ก็มีคำถามว่า เราพร้อมแล้วหรือที่จะมีเขาเป็นผู้นำชาติของเราแม้เราจะเชื่อว่าสิ่งนั้นยากจะเป็นจริงก็ตาม


ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan



กำลังโหลดความคิดเห็น