xs
xsm
sm
md
lg

พท.- ก้าวไกล จองรัฐบาล แย่งเก้าอี้กันแล้ว !?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


เศรษฐา ทวีสิน - พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
เมืองไทย 360 องศา

อาจเป็นเพราะมั่นใจจากผลสำรวจจากสำนักโพล หรือมองกระแสว่า พรรคของตัวเองกำลังได้รับความนิยมแบบพุ่งแรงก็เป็นได้ ถึงได้ประกาศท่าทีแบบอหังการว่าตัวเองจะเป็นรัฐบาล โดยต่างฝ่ายต่างจองกระทรวงนั้นกระทรวงนี้ กันตั้งแต่ยังไม่ทราบผลเลือกตั้งว่าจะออกมาอย่างไร หรือถึงขึ้นจองกระทรวง โดยจะไม่แบ่งให้ใครโดยเฉพาะกระทรวงสำคัญ

เริ่มจากการโพสต์คลิปคำให้สัมภาษณ์ของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) ตอนหนึ่ง นายเศรษฐา บอกว่า กระทรวงคมนาคม เป็นกระทรวงใหญ่ เป็นกระทรวงเศรษฐกิจ “พี่น้องครับ ผมเดินทางมา 60 วัน ไข้ขึ้นมาทุกวัน มาเป็นเวลา 11 วันแล้ว เหนื่อยยากขนาดนี้ ผมไม่เอากระทรวงดีๆ ให้พวกแม่งหรอก”
ถัดมาก็เป็นการปราศรัยบนเวทีของ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า และเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล บนเวทีที่ จ.นนทบุรี เมื่อวันก่อนว่า

“จึงจำเป็นที่พรรคก้าวไกล ต้องมี ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เลือกกระทรวงสำคัญเพื่อเข้าไปบริหารเรื่องเหล่านี้ ถ้าเราไม่ได้ที่หนึ่ง เราได้ ส.ส.น้อย ไปร่วมกับคนอื่น สวัสดิการพื้นฐานอาจไม่ได้ทำ กระจายอำนาจอาจไม่ได้ทำ ดังนั้นต้องกาก้าวไกลให้ถล่มทลาย” นายปิยบุตร กล่าว

ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล กล่าวบางช่วงบางตอน ระหว่างการหาเสียงในจังหวัดทางภาคอีสาน
...“ถ้า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลก้าวไกล จะทำหลายเรื่องพร้อมกัน กระทรวงพาณิชย์ เอาสินค้าเกษตรไปขายต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ เปลี่ยนแปลงหลักสูตรการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับยุคสมัย กระทรวงอุตสาหกรรม สร้างอุตสาหกรรมเทคโนโลยีใหม่ ให้ลูกหลานมีงานที่ดีทำ กระทรวงกลาโหม ไปปฏิรูปกองทัพ ไม่ให้เกิดการรัฐประหารอีกในอนาคต ทำหลายเรื่องพร้อมกันได้ ไม่ต้องทำทีละเรื่อง นี่คือ ข้อเสนอที่เราวางอยู่บนโต๊ะให้ทุกคน” นายธนาธร กล่าว

ขณะที่ปฏิกิริยาจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ว่า วันที่ 14 พ.ค. ตนจะไปรอผลเลือกตั้งที่ จ.บุรีรัมย์ เพื่อขอบคุณประชาชนในเขตเลือกตั้งต่างๆ และให้กำลังใจผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค

เมื่อถามว่า จะวางท่าทีหลังจากผลคะแนนออกมาอย่างไร นายอนุทิน ตอบว่า ได้ตามเป้าหรือไม่ได้ตามเป้า ตนก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว ถ้ามีบทบาทก็ทำงาน ถ้าไม่มีบทบาทก็ไปทำอีกบทบาทหนึ่ง

ถามว่า หากคะแนนอย่างไม่เป็นทางการที่ออกมา วันที่ 14 พ.ค.จะทำให้เห็นทิศทางจับขั้วของพรรคภูมิใจไทยเลยหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งก่อนเห็นตัวเลข 3-4 ทุ่ม โทรศัพท์ก็เริ่มดังกันแล้ว แต่ท่าทีชัดเจน คงยังไม่มี ต้องรอตัวเลขอย่างเป็นทางการของ กกต.

ถามว่า ถ้าพรรคภูมิใจไทย ร่วมรัฐบาล จะมีเงื่อนไขต้องได้ รมว.คมนาคม หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวันที่จะจับมือร่วมรัฐบาล ไปบอกก่อนไม่ได้หรอก กระทรวงคมนาคม มีเจ้าของด้วยหรือ เราจะไปบอกได้หรือ ว่า คนๆ นี้ ห้ามนั่งตรงนี้ พรรคนี้ห้ามมานั่งตรงนี้ และตัวเองอยากจะนั่ง และพรรคที่ไปบอกเขาว่าห้ามนั่ง ก็บอกตัวเองว่าห้ามนั่งด้วย พูดแล้วมีแต่ความขัดแย้ง วันนี้น่าจะลดเรื่องความขัดแย้งได้แล้ว

“ปากก็บอกว่าจะไม่มีความขัดแย้ง แต่ยังไม่ทันอะไรเลย ยังไม่เห็นอะไรอยู่ในมือก็มานั่งจัดโควตาแล้ว “อ่อนหนะ” เกิดพรรคภูมิใจไทยบอกว่า ถ้าทำอย่างนี้แล้วไม่ให้ใครเป็นนายกฯ บ้างล่ะ” นายอนุทิน กล่าว

นี่ยังไม่นับกรณีของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรหลอมรวมประเทศไทย อดีตแกนนำ นปช. ที่ออกมาให้ความเห็นโดยช่วงหนึ่งพูดถึง นายเศรษฐา ทวีสิน ว่า ทรรศนะของ นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ ที่จะเข้ากับคนอื่นยากมาก เพราะคนจะเป็นนายกฯจะมาเป็นผู้จัดการรัฐบาลด้วยไม่ได้ ยิ่งคำพูดไม่ยกระทรวงดีๆ ให้พวกแม่งไปหรอก ย่อมสื่อถึงพรรคอื่น ที่จะมาร่วมรัฐบาลผสมในอนาคต

รวมทั้งเห็นว่า นายเศรษฐา จะไม่ยกกระทรวงให้พวกแม่งเลย แสดงความเข้าใจผิดของนายเศรษฐา ที่คิดว่าตัวเองจะได้เป็นนายกฯ อย่างนั้นหรือ การหาเสียงพรรคเพื่อไทย ประกาศจะตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง ซึ่งไม่ใช้เกียรติพรรคร่วมเลยเช่นกัน

“นายเศรษฐา มักใช้วาจาทางการเมืองใหญ่โต หาศัตรูได้อย่างรวดเร็ว และต้องเข้าใจไว้ด้วยว่า ประเทศนี้ไม่ใช่ของนายเศรษฐา หรือของตระกูลใด ของพวกใดพวกหนึ่ง แต่การมาแสดงความเป็นเจ้าของ การใช้วาจาแสดงความยิ่งใหญ่เสมือนหนึ่งได้เป็นนายกฯแล้ว จึงน่ากังวล แล้วจะไปจับมือกับพรรคใดร่วมรัฐบาล เพราะพรรคที่มาร่วม ก็จะเป็นพวกแม่งทันที”

นายจตุพร เสนอว่า คนที่จะมารับใช้ชาติ ประชาชน แค่ด่านแรกในเรื่องความอดทน หรือการใช้ท่วงทำนองในลักษณะที่ไปดูถูกคนอื่นนั้น ทั้งคำพูดพวกมันก็หนักแล้ว ยิ่งมาพูดพวกแม่งอีก ยิ่งไปกันใหญ่ ดังนั้น “ผมจะบอกให้น้ำหน้าอย่างนี้ ไม่ได้เป็นนายกฯ หรอก”

นั่นเป็นท่าทีในวงการเมืองทั้งสองฝ่าย แต่คำพูดของคนที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ที่ประกาศเป็นรัฐบาลพร้อมกับจองกระทรวงกันล่วงหน้าแบบนี้ โดย “ไม่ให้พวกแม่ง” มองในมุมของพวกเขา ย่อมสะท้อนให้เห็นว่ามีความมั่นใจเต็มร้อยว่าจะชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย อย่างน้อยก็เชื่อตามโพลที่ออกมาก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากันตามความเชื่อดังกล่าว มันก็เป็นไปได้เหมือนกันที่จะได้รัฐบาลผสมสองพรรค คือ พรรคเพื่อไทยกับพรรคก้าวไกล เพราะทั้งสองพรรคตามผลโพลบอกว่า จะได้เกิน 300 เสียงเข้าไปแล้ว แบบนี้ก็ตั้งรัฐบาลแบเบอร์ แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีแนวโน้มที่จะเกิดปัญหารุนแรงเช่นเดียวกัน เพราะในเมื่อทั้งสองพรรคต่าง “จองกระทรวงหลัก” เอาไว้กับตัวเองแบบนี้ โดย “ไม่แบ่งพวกแม่ง” มันก็ลำบาก เพราะหาก นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ขึ้นมาจริงๆ ก็จะควบรัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม หรือ คนของพรรคเพื่อไทยจะนั่งเอง

ส่วนหากร่วมกับก้าวไกลจริง ที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประกาศจองกระทรวงพาณิชย์ อุตสาหกรรม ศึกษาธิการ กลาโหม ขณะที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล ประกาศในเรื่องการเลือกตั้งผู้ว่าฯ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มันก็มีความหมายในทางต้องการยึดโควตากระทรวงมหาดไทย เรียกว่า กระทรวงเกรดเอทั้งนั้น นอกเสียจากว่า หากพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงข้างมากจนตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ก็คงไม่มีปัญหาเรื่องการแบ่งกระทรวง ส่วนจะแย่งกันภายในหรือไม่ นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถึงอย่างไร ตราบใดที่ยังไม่มีการหย่อนบัตร ยังไม่รู้ว่าพรรคไหนจะชนะ ได้กี่ที่นั่ง หรือไม่แน่ว่าใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี มันก็น่าจะเผื่อใจไว้บ้าง และเมื่อพูดอะไรไปแล้ว มันก็ย่อมผูกมัดตัวเองไปถึงวันหน้าอีกด้วย ขณะเดียวกัน ก็อาจทำให้ชาวเกิดอารมณ์ “หมั่นไส้” ตามมาก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างไรทุกพรรคการเมืองก็ย่อมมีสิทธิหวังหรือฝันกันทั้งนั้น เพราะหากพิจารณาจากความคาดหวังของแต่ละพรรค รวมๆ แล้วน่าจะมี ส.ส.รวมกันเกิน 500 ที่นั่งไปไกลลิบแล้ว ดังนั้น ต้องรอของจริงในวันที่ 14 พ.ค.นั่นแหละ !!



กำลังโหลดความคิดเห็น