เมืองไทย 360 องศา
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นอาการที่เรียกว่า “นั่งไม่ติด” ในแบบใกล้เคียงกับคำว่า “พล่าน” กันเลยทีเดียว กับกระแสที่ “แรง” ขึ้นมาจนผิดคาด จากเดิมที่เคยคิดว่าจะไล่บี้ให้จมดิน และ “ตามเก็บเบี้ย” ที่เคยทิ้งไว้ให้เมื่อครั้งที่พรรคไทยรักษาชาติ ถูกยุบไปในช่วงการเลือกตั้งปี 62 แต่เอาเข้าจริงคะแนนเสียงดังกล่าว ที่เคยเทไปให้อดีตพรรคอนาคตใหม่ แม้ว่าบางส่วนอาจจะกลับมาหาพรรคเพื่อไทย แต่ขณะเดียวกัน มีอีกจำนวนมากที่คาดว่ายังอยู่กับก้าวไกล มิหนำซ้ำ ยังได้ฐานเสียงใหม่ที่เรียกว่า “นิวโหวตเตอร์” พวกเด็กๆ วัยรุ่น เชื่อว่า จะหนุนก้าวไกลมากกว่าเพื่อไทย
อย่างไรก็ดี หากจับสัญญาณมาตั้งแต่ต้น ก็พอมองออกได้ไม่ยากว่าทั้งสองพรรคนี้จะต้อง “เหยียบเท้า” ฟันกันยับแน่นอน เพราะอย่างที่รู้กันว่า ทั้ง “เสื้อแดง” และพวก “สามนิ้ว” มันก็ฐานเดียวกัน พวกเขาไม่มีทางข้ามฟากมาเลือกพรรค “สองลุง” ไม่ว่าจะเป็นพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ หรือแม้แต่ภูมิใจไทย ก็เถอะ ไม่มีทางข้ามห้วย ดังนั้น เมื่อมีฐานเดียวกันก็ต้องแบ่ง แย่งกันเองอยู่แล้ว นี่ยังไม่นับแบบรายการ “ยิบย่อย” จากพรรคไทยสร้างไทยของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เข้ามาอีกในทุกพื้นที่ ไม่ว่า กรุงเทพมหานคร ภาคอีสาน เป็นต้น
หากโฟกัสกันเฉพาะสองพรรค คือ เพื่อไทย กับ ก้าวไกล เชื่อว่า ทั้งคู่ก็คงรู้ดีแล้วว่า มันต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าบางครั้งมันผิดคาดไปไกลมาก เพราะหากมองให้เห็นภาพแบบการเมือง “สองขั้ว” ให้เข้าใจง่ายคือ “ฝั่งเพื่อไทย” หรือ “เอาทักษิณ” ที่มักเรียกกันเองอย่างสวยหรูว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ซึ่งฐานเสียงก็จะดิ้นไปมาอยู่ในนี้แหละ ไม่ไปไหน
ดังนั้น ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล ก็รู้ดี โดยสามารถจับสัญญาณแบบนี้ได้ตั้งแต่เริ่มประกาศ “แลนด์สไลด์” จากพรรคเพื่อไทยตั้งแต่ไก่โห่ จำนวน 250 เสียง แล้วมาขยับเพิ่มเป้าหมายแบบก้าวกระโดดถึง 310 เสียง ซึ่งเป้าหมายแบบนี้ความหมายในทางลึก ก็คือ “บีบให้เลือกขั้ว” หรือที่อ้างว่าให้เลือกแบบยุทธศาสตร์นั่นแหละ
แนวทางยุทธศาสตร์แบบนี้ ทั้งสองพรรคต่างรู้กันดี ว่าต้องเกิดอะไรขึ้น เพียงแต่ไม่คาดคิดว่า มันจะส่งผลกระทบแรงได้ถึงขนาดนี้ ที่ผ่านมา หากพิจารณาถึงสัญญาณที่ทั้งสองพรรคเริ่มโจมตีกันหนักข้อ เห็นได้ชัดจาก “โทนี่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่หากย้อนไปถึงวันที่ 18 สิงหาคม 2564 กันเลยทีเดียว ที่วันนั้น เพจ CARE คิด เคลื่อน ไทย โพสต์ คำพูด นายทักษิณ ชินวัตร หรือ โทนี่ วู้ดซั่ม อดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคดี ที่ร่วมสนทนาในรายการ CARE Talk x CARE clubHouse ครั้งที่ 13 ในตอน ทางออกประเทศ ทางรอดประชาชน เมื่อคืนวันอังคาร
ตอนหนึ่ง ให้ความเห็นเรื่องข้อครหา “โทนี่ มีดิล” เรื่องรายชื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ ว่า
“พรรคก้าวไกล ต้องใจเย็นๆ ถ้าทำงานเพื่อหวังสร้างประชาธิปไตย อย่าใจร้อน จะทะเลาะทำไม เรามีภารกิจ คือ ต้องทำงานร่วมกัน เพื่อต่อสู้ให้ได้ประชาธิปไตย ไม่ใช่แค่ด่า ประวิตร ธรรมนัส แล้วจะได้ประชาธิปไตย อย่างว่าพรรคเพื่อไทยกับก้าวไกล มีวัฒนธรรมต่างกัน แต่ทั้งคู่ ต้องทำงานร่วมกัน อย่าทะเลาะกัน เราโตกันแล้ว ไม่มีอะไรครับ ใจร้อน ไม่ได้ดั่งใจก็หงุดหงิด เป็นเรื่องธรรมดา การเมืองต้องมียุทธศาสตร์ จะใจร้อนไม่ได้ ต้องคิดว่าจะด่ายังไงให้ได้คะแนน จากคณะรัฐมนตรี 36 คน ด่าอย่างเดียว ผู้ชมก็เบื่อ ถามว่า ประวิตร วันนี้มีหน้าที่อะไร เป็นรองนายกฯ เฉยๆ งานไม่ค่อยมี แถมการอภิปรายส่วนใหญ่เป็นเรื่องปัจจุบัน ถ้าเอาเรื่องอดีตมาคุย ก็ไม่มีน้ำหนัก ตอนนี้เป็นเรื่องโควิด ความล้มเหลวในการบริหาร มีพฤติการณ์ที่ส่อกระทำทุจริต จะอภิปรายใครควรมีหลักฐานที่ชัดเจน”
ซึ่งก็ได้รับการตอบโต้กลับไปจากบรรดาสาวกของพรรคก้าวไกล และ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ผู้สนับสนุนคนสำคัญอีกชุดใหญ่ไม่แพ้กัน และกลายเป็นเหตุการณ์วิวาทะกันไปมา อย่างต่อเนื่อง
หากจับสังเกตจะเห็นว่า จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ยังทำให้เห็นร่องรอย การรักษาน้ำใจระหว่าง นายทักษิณ กับ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้ดีไม่น้อย ส่วนจะกลายสภาพมาจนเป็นข่าวคราว “ดีลลับ” ในเวลาต่อมาหรือไม่ เพราะจนถึงล่าสุดไม่ว่าคนในพรรคเพื่อไทยจะพูดให้เข้าใจว่า ไม่จับมือกับ “ลุงป้อม” หรือคนที่มีส่วนร่วมการก่อรัฐประหารก็ตาม ทำนองว่า “ถึงจะชัดแต่มันไม่ชัดอยู่ดี” อะไรประมาณนั้น เพราะชาวบ้านไม่เชื่อ และที่สำคัญคนที่พูด ก็ไม่ใช่มีอำนาจในการชี้นำ หรือตัดสินใจในพรรคเพื่อไทยนั่นเอง
ขณะเดียวกัน หากมองกันอีกด้านหนึ่งมาจนถึงเวลานี้ เชื่อว่า ทั้งสองพรรค คือ ทั้งเพื่อไทยและก้าวไกล คงไม่นึกว่าจะเกิดผลกระทบรุนแรงได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะเพื่อไทยที่ก่อนหน้านี้มีความเชื่อมานานแล้วว่าฐานเสียงล้วนเป็น “ของตาย” ยิ่งเมื่อประกาศให้ “เลือกให้ขาด” ไม่มีพรรคพี่พรรคน้อง รวมไปถึงไม่มีเลือกพ่วง ยังไงเสียก็ต้องกลับมาโหวตให้เพื่อไทย และ “อุ๊งอิ๊ง” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นทายาทสายตรง
แต่กลายเป็นว่าในระยะหลังมี “ตัวแปร” เพิ่มเติมที่คอยตัดแต้ม อย่างน้อยที่มองข้ามไม่ได้ ก็คือ ความแตกฉานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง ของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะการออกมาเป็น “เสี้ยนตำเท้า” ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธาน นปช.ที่ออกมาดับเครื่องชนทักษิณ รายวัน จนรวนกันไปทั้งพรรค
อีกทั้ง พรรคก้าวไกล ก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไม่ยอมให้สูญเสียฐานเสียงเดิม และ “โหวตเตอร์” คนรุ่นใหม่ การเดินหน้าแนวทางแบบสุดโต่ง แม้ว่าจะไปได้ไม่สุด แต่อย่างน้อยก็สร้างความประทับใจให้กับพวกเขาเหล่านั้น อย่างน้อยคำว่า “มีลุง ไม่มีเรา” มันก็ชัดเจนในท่าที
ประกอบกับเมื่อพิจารณาจากนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ประกาศออกมาก็ต้องบอกว่าในยุคนี้ถือว่าไม่อาจเรียกเสียงฮือฮามากพอ หากเทียบกับในยุคเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว เพราะคราวนี้หากเป็นเรื่อง“ประชานิยม” พรรคการเมืองก็ตามทันกันหมด ขณะที่ตัวบุคคล มาวันนี้ส่วนใหญ่ก็โรยรา หรือแม้แต่ “อุ๊งอิ๊ง” รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน ที่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรค ก็ไม่เร้าใจดังคาด กลายเป็นว่าเวลานี้พรรคที่แรงขึ้นมาไล่จี้เพื่อไทยก็คือ ก้าวไกลนั่นเอง !!
เมื่อเป็นแบบนี้ฝ่ายที่เสียหายมากที่สุดก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ย่อมเป็นเพื่อไทยนั่นเอง เพราะยิ่งก้าวไกลโตขึ้นมา มันก็จะทำให้เพื่อไทย หดตัวลงไปเท่านั้น เพราะอยู่ในบ่อเดียวกัน “ปลาไม่ได้ว่ายข้ามบ่อ” ขณะเดียวกัน อย่าได้แปลกใจกับปฏิกิริยาจากระดับแกนนำตัวจริงในพรรคเพื่อไทย อย่าง นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่โพสต์ข้อความสะท้อนออกมาอย่างเจ็บแสบว่า “ประชาชนต้องการพรรคการเมือง...ที่มีวุฒิภาวะ มีความสามารถที่จะทำงานกับผู้อื่นได้ มีความสามารถที่จะทำงานเป็น ทำได้จริง มีประสบการณ์ที่จะเปลี่ยนแปลงปัญหาและชีวิตประชาชนได้ในวันนี้ มิใช่ความสามารถที่ไกลเกินเอื้อม...
“ไม่ใช่ฝันถึงดวงดาว แต่ไปได้ไกลแค่ต้นมะพร้าว”
ดังนั้น หากมองจากสัญญาณ เชื่อว่า อีกไม่นานศึกใหญ่ระหว่างสองพรรคนี้ จะต้องดุเดือดเข้มข้นกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะมันมีเดิมพันสูงในเรื่องการดำรงอยู่ หรือดับไป ขณะเดียวกัน สำหรับพรรคเพื่อไทย และ นายทักษิณ ชินวัตร ที่มีเดิมพันสูงมาก และอาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้กลับบ้านแบบไม่มีความผิด และกลายเป็นว่า หอกข้างแคร่ ที่ความหวังอาจพังทลายไม่ใช่ใครที่ไหน “ฝ่ายประชาธิปไตย” ด้วยกันนี่เอง!!