เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะไปดูราคาพลังงาน ราคาน้ำมัน ในตลาดโลกเอาไว้สักหน่อย เพราะโดยความเคลื่อนไหวขึ้นๆ-ลงๆ ของสินค้าตัวนี้ ต้องถือเป็น “กุญแจ” สำคัญ เอาแพ้-เอาชนะระหว่างโลกตะวันตกกับโลกตะวันออกระหว่างโลกขั้วเดียวกับโลกหลายขั้วอำนาจ อยู่พอสมควรทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อประเทศผู้ผลิตน้ำมัน ผลิตพลังงานอันดับต้นๆ ของโลกอย่างหมีขาวรัสเซีย กำลังถูกพวกโลกตะวันตก รุมเหยียบ รุมกระทืบ อย่างชนิดกะให้ตายคาตีนให้จงได้ การขึ้นๆ-ลงๆ ของราคาน้ำมันในตลาดโลก จึงไม่ต่างไปจากการส่งสัญญาณถึงความได้เปรียบ-เสียเปรียบ การเอาแพ้-เอาชนะระหว่างโลกทั้งสองฝ่ายนั่นแหละสหาย!!!
คือถ้าว่ากันถึงราคาน้ำมันระดับ 80-90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ณ ช่วงขณะนี้ ถ้าว่ากันตามความคิด-ความเห็นของผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ อย่าง “Dr.Ahmed al-Ibrahim” แห่งบริษัท “Al Masaood Oil & Gas” ของ UAE เขาถือว่าเป็นราคาโดยปกติ หรือเป็น“ความปกติแบบใหม่”(new normal) ที่ใครต่อใครคงต้อง “ทำใจ” รับสภาพอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลยเพราะไม่ว่าจะโดย “อุปทาน” หรือปริมาณความต้องการบริโภคพลังงานของโลกทั้งโลก ที่ไม่ได้ลดลงไปเอาเลยแม้แต่น้อย หรือนับวันมีแต่จะเพิ่มกับเพิ่ม แม้คิดจะลด-ละ-เลิกการบริโภค “พลังงานฟอสซิล” ที่ถือเป็นตัวการทำให้เกิดภาวะ “โลกร้อน” กันเพียงใดก็ตาม แต่ภายใต้ “ระยะเปลี่ยนผ่าน”ซึ่งอาจต้องใช้เวลาประมาณ 20-30 ปี ย่อมทำให้ราคาพลังงานฟอสซิลหรือราคาพลังงานในระดับนี้ ถือเป็น “ข้อเท็จจริง” เป็น “ความจริง” อันมิอาจปฏิเสธได้...
ด้วยเหตุนี้...การตัดสินใจลดปริมาณการผลิตน้ำมันลงไปวันละ 2 ล้านบาร์เรล ของกลุ่มประเทศ “OPEC+” เมื่อไม่นานมานี้ไม่ว่าจะได้รับการวิงวอน ร้องขอ จาก “ประมุขโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาเพียงใดก็ตาม ต้องถือเป็นการตัดสินใจทางเทคนิคตัดสินไปตามความจริง ตามข้อเท็จจริง โดยไม่ได้คิดจะนำเอา “การเมือง” ไม่ว่าในระดับโลก หรือระดับประเทศใดๆ ก็ตามเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย แม้จะถูกมองเป็นการหันไป “เข้าข้างรัสเซีย”ที่กำลังถูกรุมเหยียบ รุมกระทืบ จากโลกตะวันตกเพียงใดก็แล้วแต่ แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยการตัดสินใจเช่นนี้ เลยทำให้ผู้นำโลกตะวันตกอย่างคุณพ่ออเมริกา ที่ถือเป็น 1 ใน 3 ของประเทศผู้ผลิตน้ำมันสูงสุดในโลก (อเมริกา-ซาอุฯ-รัสเซีย) และกำลังไล่เหยียบ ไล่กระทืบหมีขาวรัสเซีย อย่างมันซ์ซ์ซ์มือมันซ์ซ์ซ์ตีน เป็นอันมาก โดยหวังว่าการร่วมมือกับบรรดาประเทศพันธมิตรในยุโรป ปฏิเสธและต่อต้านพลังงานจากรัสเซียจะทำให้หมีขาวตัวนี้ ต้องแห้งเหี่ยว หัวโต ต้องขาดรายได้ ขาด “ศักยภาพ” ที่จะมาสู้รบปรบมือกับโลกตะวันตกเอาง่ายๆ เลยหันไปไขก๊อก นำเอา “น้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์”หรือ “SPR”(The US’ Strategic Petroleum Reserve) ออกมาขายทอดตลาดถึง 180 ล้านบาร์เรลเข้าไปแล้ว นับตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา และล่าสุดยังไขออกมาเทขายอีกประมาณ 14-15 ล้านบาร์เรล เพื่อหวังจะฉุดกระชากราคาน้ำมันไม่ให้แพงยิ่งไปกว่านี้ หรือไม่ให้ต้องเกิด “ภาวะขาดแคลนพลังงาน” อันกำลังก่อให้เกิด “ปัญหา”ทั่วทั้งยุโรปและอเมริกา ชนิดหนักหนา-สาหัสเอามากๆ...
การตัดสินใจของรัฐบาลอเมริกาในลักษณะเช่นนี้ จึงถือเป็นการนำเอา “การเมือง”มาเป็นตัวกำหนดความเป็นไปของราคาพลังงาน ไม่ได้ตัดสินใจตามข้อมูล ข้อเท็จจริง อย่างที่กลุ่มประเทศ “OPEC+” ภายใต้การนำของอภิมหาเศรษฐีน้ำมันซาอุฯ ได้ตัดสินใจไปก่อนหน้านี้ หรือเป็นความพยายามนำเอา “น้ำมัน” มาใช้เป็น “อาวุธ” เป็น “สงครามน้ำมัน”(Oil War) อย่างที่ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ “Dr.Ahmed al-Ibrahim” ท่านได้ให้คำนิยามเอาไว้นั่นเอง ไม่ว่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อเล่นงานศัตรูคู่แข่งอย่างหมีขาวรัสเซีย หรือเพื่อทำให้ราคาน้ำมันในสหรัฐฯ เองพอได้ลดๆ ลงไปมั่ง โดยเฉพาะระหว่าง “การเลือกตั้งกลางเทอม” ที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ หรือเพื่อช่วยให้ผู้บริโภคน้ำมันในอเมริกา ที่เคยได้ชื่อว่า “ซดน้ำมันหนักที่สุดในโลก” ไม่ถึงกับต้องหุดๆ หิดๆ ไม่คิดอยากเข้าคูหา-กาบัตรลงคะแนนให้กับพรรครัฐบาลอย่างเดโมแครต จนอาจต้องกลายเป็น “รัฐบาลเสียงข้างน้อย”ทั้งในสภาสูง-สภาล่าง ไปจนได้!!!
แต่ก็นั่นแหละ...การไขก๊อกนำเอาน้ำมันสำรองทางยุทธศาสตร์ หรือน้ำมันที่เก็บสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ออกมาเทขายในตลาดนับเป็นร้อยๆ ล้านบาร์เรล ไม่เพียงแต่ทำให้ปริมาณน้ำมันสำรองในคลังยุทธศาสตร์สหรัฐฯ แทบบ๋อๆ แบ๋ๆ เหลืออยู่เพียงแค่ 401.7 ล้านบาร์เรล ตามตัวเลขล่าสุดของหน่วยงานสหรัฐฯ เอง (Department of Energy) ต่ำสุดนับจากปี ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา หรือเหลืออยู่แค่สามารถใช้ไปอีกประมาณ 20 วันเท่านั้น แต่การตัดสินใจเช่นนี้กลับไม่ได้ช่วยให้ “ราคาน้ำมัน”และการ “ขาดแคลนพลังงาน”ในโลกนี้ ทุเลาเบาบางลงไปเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ในสหรัฐฯ เอง หรือในหมู่ชาติพันธมิตรอย่างพวกอียู-อีย้วยก็แล้วแต่ เพราะการสรรหาพลังงานใดๆ มาแทนที่ “พลังงานรัสเซีย”ที่เคยส่งออกพลังงานเป็นอันดับหนึ่งของโลก ส่งออกให้ยุโรปถึง 40 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณความต้องการ มันเป็นสิ่งที่แทบเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นสิ่งที่ฝืนความจริง ฝืนข้อเท็จจริง อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย!!!
อีกทั้งยังอาจนำมาซึ่ง “ความเจ็บปวด” ให้กับรัฐบาลสหรัฐฯ เองภายในอีกไม่กี่วัน-กี่เดือนนับจากนี้ ดังที่รัฐมนตรีพลังงานซาอุฯ เจ้าชาย “Abdulaziz bin Salman”ท่านอดไม่ได้ต้องออกมากล่าวเตือนเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ณ ที่ประชุม “The Future Initiative Investment conference” เมื่อช่วงวันอังคาร (25 ต.ค.) ที่ผ่านมา หรือกลับยิ่งก่อให้เกิดความวิปริต ผันผวน ต่อราคาน้ำมัน ราคาพลังงานในอนาคตข้างหน้า เผลอๆ...อาจถึงขั้นส่งผลให้ราคาน้ำมันเด้งๆ ดึ๋งๆ พุ่งไปถึง 300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญน้ำมัน “Dr.Ahmed al-Ibrahim” ได้ออกปากเตือนๆ เอาไว้เลยก็ไม่แน่!!!
เพราะภาวะขาดแคลนพลังงาน ทั้งในยุโรปและอเมริกาช่วงนี้ ได้ก่อให้เกิดความชุลมุน-ชุลเก ชนิดแทบไม่รู้ไผ-เป็นไผ ทั่วทั้งสองฟากฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ในอเมริกานั้นภาวะขาดแคลน “น้ำมันดีเซล” ที่ลุกลามตั้งแต่นิวยอร์กไปจนถึงรัฐเมน ก่อนหน้าการเลือกตั้งกลางเทอมแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง ได้ทำให้เกิด “ปรากฏการณ์”ที่สุดแสนจะเหลือเชื่อแต่ก็คงต้องเชื่อกันจนได้ นั่นก็คือเรือขนส่งน้ำมันดีเซลจำนวน 9,000 ตัน ที่คิดขนส่งน้ำมันไปยังยุโรป อย่างเช่นเรือ UAE ที่มุ่งตรงไปยังเมืองท่า Rotterdam จู่ๆ กลับหันหัวเรือมุ่งตรงไปยังนิวยอร์กกันแทนที่ หรือเรือ “Proteus Jessica” ที่ทำท่าว่าจะมุ่งไปยังเมืองท่าด้านตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษ กลับเบนหัวเรือมุ่งไปยังอเมริกา ไม่ต่างไปจากเรือ “Hellas Tatiana”ของ “Exxon Mobil” ที่บรรทุกน้ำมันดีเซล 35,000 ตัน สุดท้าย...ได้เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือจากที่มุ่งหน้าไปยังเมืองท่าฝรั่งเศส กลับเบนหัวเรือหันไปยังฝั่งอเมริกา ฯลฯ หรือหันไปขายน้ำมันให้กับผู้ที่ให้ราคาสูงกว่า ตามกฎแห่งการค้าเสรี หรือกฎอันว่าด้วยใครใคร่ค้า-ค้า ใครใคร่ขาย-ขาย ไปตามอุปสงค์-อุปทานของใคร-ของมัน นั่นแล...
ส่วนเรือบรรทุกแก๊ส LNG จากอเมริกา กลับได้จังหวะหันไป “โขกราคา” ต่อบรรดาผู้บริโภคในยุโรป ที่กำลังใกล้จะหนาวตาย แข็งตาย กำลังต้องเด็ดปัสสาวะทิ้งกันไปเป็นท่อนๆ จนราคาแก๊สอเมริกาสูงกว่าราคาที่เคยขายอยู่ในประเทศถึงกว่า 5 เท่า 7 เท่า ส่งผลให้ผู้นำฝรั่งเศส อย่างประธานาธิบดี “เอ็มมานูเอล มาครง” ถึงกับต้องออกมาโหยหวน ครวญคราง ทวงถามหา “มิตรภาพ” จากรัฐบาลอเมริกัน ที่พยายามฉุดลากกระชากถูให้บรรดาประเทศอียู-อีย้วยทั้งหลาย รุมเหยียบ รุมกระทืบ ศัตรูคู่แข่งอย่างหมีขาวรัสเซียให้จมตีน จมธรณี ให้จงได้...
หรือโดยสรุปรวมความแล้ว...ความพยายามฝืนความจริง ปฏิเสธข้อเท็จจริง มุ่งแต่จะอาศัย “การเมือง”ไม่ว่าจะในประเทศนอกประเทศ เป็นเครื่องมือในการเล่นงานฝ่ายตรงข้าม ผู้ที่ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกับตัวเอง ด้วยกรรมวิธีต่างๆ นานา สุดท้าย...ย่อมหนีไม่พ้นต้องเจอ “หอกสนองคืน”ดังที่ผู้นำรัสเซียประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน”ท่านได้สรุปไว้ ณ สโมสร “Valdai Club”เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า...“He who sow the wind will reap the whirlwind, as proverb says.” หรือประมาณว่า...ผู้ที่หว่านพืชเช่นใด-ย่อมต้องได้รับผลเช่นนั้น อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงไปเป็นอื่น ตามกฎเหล็กแห่งธรรมชาติ กฎอิทัปปัจจยตา-ปฏิจจสมุปบาท อันว่าด้วยเหตุเพราะสิ่งนี้-สิ่งนี้...สิ่งนี้จึงเป็นไป นั่นแล...