นายกรัฐมนตรีสเปน เปโดร ซานเชซ ยอมรับแล้วว่ารัสเซียกำลังทำสงครามกับยุโรปซึ่งอันที่จริงก็เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่านอกจากประชาคมยุโรปแล้วรัสเซียยังทำสงครามกับกลุ่มพันธมิตรนาโตด้วยซึ่งรวมจำนวนพันธมิตรแล้วมีมากกว่า 40 ประเทศ
เป็นการเข่นฆ่ากันระหว่างมนุษย์ ด้วยอาวุธสารพัด เป็นการทำสงครามเศรษฐกิจระหว่างประชาคมยุโรปและนาโตกับรัสเซียโดยมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ 7 ครั้งหวังจะให้รัสเซียสิ้นสภาพและยอมถอนตัวออกจากยูเครน
ทั้งประชาคมยุโรปและนาโตได้สนับสนุนทั้งอาวุธและงบประมาณการเงินมหาศาลหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการทำสงครามโดยตรงกับรัสเซียและยังมีตัวช่วยหลักก็คือสงครามด้านข่าวสารและโฆษณาชวนเชื่อ
สื่อตะวันตกสายหลักถูกมองว่าเป็นกระบอกเสียงของยุโรปและนาโต ซึ่งนำโดยสหรัฐฯ โดยมีอังกฤษเป็นลูกคู่ในความพยายามชักนำประเทศยุโรปให้ช่วยเหลือยูเครนทั้งที่ไม่มีข้อขัดแย้งโดยตรงกับรัสเซีย
คำถามที่ยังไม่มีคำตอบจากยุโรปและสหรัฐฯ ก็คือรัสเซียทำสงครามกับยูเครนและประเทศอื่นมายุ่งด้วยทำไม รวมถึงการยึดทรัพย์สิน เงินฝากต่างๆ ของรัสเซียในธนาคารยุโรปและสหรัฐฯ
ยังยึดทรัพย์สินเงินฝากของบรรดานักธุรกิจรัสเซียที่ไปปักหลักในยุโรป แต่ส่วนใหญ่อยู่ในอังกฤษและสหรัฐฯ ซึ่งการกระทำนี้ไม่มีกฎหมายรองรับอาศัยเพียงแต่ว่าสหรัฐฯ ใช้อำนาจในฐานะที่เป็นเจ้าโลกและเป็นตำรวจโลกเท่านั้น
ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศย้ำตลอดเวลาว่าจะทำสงครามและสนับสนุนยูเครนในรูปแบบถึงไหนถึงกันจนกว่ารัสเซียจะพ่ายแพ้และถอนทัพออกจากยูเครน แม้คนอเมริกันจะต้องลำบากกับเงินเฟ้อ ค่าครองชีพสูง ค่าพลังงานแพง
ไม่มีใครบอกได้ว่าสงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ชัดก็คือยุโรปทั้งทวีปกำลังลำบากเพราะขาดแคลนพลังงาน ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งได้หยุดส่งให้เพราะสถานการณ์เลวร้ายลง เป็นการตัดความสัมพันธ์อย่างเด็ดขาด
ยุโรปกล่าวหารัสเซียว่าต้องการใช้ฤดูหนาวเป็นอาวุธเล่นงานยุโรปซึ่งไม่มีทางเลือกในการจัดหาพลังงานมาทดแทนจากรัสเซียได้
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจของยุโรปประสบภาวะขาดแคลนพลังงานต้องอยู่ในขั้นลดการใช้อย่างมากทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่จนถึงขนาดเล็กประสบภาวะลำบากจนถึงขั้นไม่อาจอยู่รอดได้ สถานการณ์เช่นนี้เป็นไปทั่วทั้งยุโรป
ผู้นำสเปนกลับมองว่าสงครามรัสเซียกับยูเครนนี้ ทำให้ยุโรปมีความสามัคคีเหนียวแน่นยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะยืนหยัดต่อต้านรัสเซียด้วยการสนับสนุนยูเครนทั้งอาวุธและการเงิน ในความเป็นจริงประชาชนเดินขบวนเรียกร้องให้เลิกคว่ำบาตร
รัสเซียนอกจากใช้พลังงาน และอาหารเป็นอาวุธ ยังมีสิ่งที่คนยุโรปมองว่าเป็นอันตราย คือ “นายพลฤดูหนาว” General Winter ซึ่งได้พิชิตศึกในสงครามกับจักรพรรดินโปเลียนของฝรั่งเศส และกองทัพนาซีของฮิตเลอร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2
อากาศหนาวยังโหดร้ายทารุณได้ทำลายกองทัพของฝรั่งเศสและกองทัพนาซีเยอรมนีต้องพ่ายแพ้อย่างหมดสภาพและเป็นตัวแปรของสงครามและผู้ชนะ
สงครามด้วยอาวุธยังไม่มีใครตัดสินว่าฝ่ายใดแพ้หรือชนะ ขณะที่ยูเครนได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากฝ่ายนาโตอย่างเต็มที่ส่วนฝ่ายรัสเซียสู้มีทั้งรุกและถอยโดยหันไปใช้จรวดนำวิถี เครื่องบินขับไล่โจมตีทิ้งระเบิดและปืนใหญ่สนับสนุนภาคพื้นดิน ในช่วงการถอยร่นทำให้ยูเครนยึดพื้นที่คืนกว่า 8 พันตารางกิโลเมตร
ผู้นำรัสเซีย วลาดิมีร์ ปูติน หวังว่าอากาศหนาวจะเป็นอาวุธที่ทรงพลังและยืดเยื้ออย่างน้อย 4 เดือน ซึ่งจะทำให้คนยุโรปอยู่ในสภาพขาดอาหารและพลังงานทั้งต้องสู้กับสภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจถดถอย ทั่วทั้งทวีปและลามไปถึงสหรัฐฯ ด้วย
ล่าสุดปูตินได้สั่งระดมพลจากกองกำลังสำรองที่ผ่านการเข้ารับราชการทหารมาแล้ว โดยไม่ระบุจำนวนเพื่อสนับสนุนทหารที่บาดเจ็บล้มตายในศึก 6 เดือนแรก
ในการแถลงการณ์ต่อชาวรัสเซียปูตินได้ย้ำว่ายุโรปและโลกตะวันตกมีแผนมุ่งทำลายความแข็งแกร่งของรัสเซีย และเป็นเจตนาดั้งเดิมที่ต้องการให้รัสเซียอยู่ในสภาพไม่สามารถทาบกับพลังของโลกตะวันตกได้
การระดมพลครั้งนี้จากกองกำลังสำรองและกองหนุนยังไม่ถือว่าเป็นมาตรการขั้นสุดท้ายเพราะยังไม่ถึงระดับการเกณฑ์ทหารใหม่ กองกำลังหนุนอาจจะเข้ารับการฝึกระยะสั้นในการใช้อาวุธแบบใหม่ก่อนฤดูหนาวจัดจะมาถึงเดือนหน้า
สงครามเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไปโดยที่รัสเซียไม่ได้รับความเสียหายอย่างที่คาดหมายโดยโลกตะวันตก ซึ่งประเมินว่ามาตรการคว่ำบาตรจะทำให้รัสเซียสิ้นสภาพชาติมหาอำนาจ
ภายใต้การนำของปูตินกว่า 20 ปีรัสเซียได้พัฒนาทุกด้านและมีแสนยานุภาพไม่เป็นรองสหรัฐฯ โดยเฉพาะในอาวุธทันสมัย
ปูตินมองว่ายูเครนยังไม่ยอมเจรจาสันติภาพโดยเพียงแต่รับคำสั่งจากโลกตะวันตกให้ทำสงครามต่อไป โดยไม่คำนึงถึงความพินาศของหลายเมืองที่เป็นสมรภูมิในช่วงที่ผ่านมา
จากการระดมพลและปรับรูปแบบกองทัพในยุทธการใหม่ ทำให้สงครามยืดเยื้ออีกเพราะผู้นำสหรัฐฯ โจ ไบเดนประกาศว่าจะต่อสู้ให้ถึงที่สุดเท่าที่จำเป็น
ประชาคมโลกที่เฝ้าติดตามสถานการณ์คงได้แต่หวังว่าสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนจะไม่ลามไปถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งจะทำให้เกิดหายนะต่อชีวิตมนุษย์มากกว่าที่จะประเมินได้