ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย และสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน เล็งระดมบรรดาผู้นำในเอเชีย ขอสนับสนุน "ระเบียบโลกใหม่" ระหว่างที่พบปะกันที่เวทีประชุมซัมมิตหนึ่งเมื่อวันศุกร์ (16 ก.ย.) ซึ่งมีเป้าหมายท้าทายอิทธิพลของตะวันตก ในขณะเดียวกัน ผู้นำเครมลินได้พูดถึงสถานการณ์การสู้รบในยูเครน ยืนยันไม่เร่งปิดฉากสงคราม แม้จากการตีความของวอชิงตัน ดูเหมือนมอสโกกำลังเผชิญแรงกดดันจากทั้งปักกิ่งและอินเดีย
ท่ามกลางการประชุมที่ระดมความเป็นหนึ่งเดียวกัน สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า พบเห็นรอยร้าวปรากฏขึ้นอย่างทันทีทันใด โดยนายกรัฐมนตรีอินเดียบอกกับ ปูติน ว่า "มันไม่ใช่เวลาสำหรับความขัดแย้งในยูเครน" นอกจากนี้ ยังเกิดความตึงเครียดระหว่างกองกำลังของคีร์กิซสถานและทาจิกิสถาน จากเหตุปะทะกันอย่างดุเดือดตามแนวชายแดน ในระหว่างที่ผู้นำทั้งสองชาติเข้าร่วมประชุมครั้งนี้
สหรัฐฯ มองว่าคำพูดของปูตินในที่เวทีประชุมซัมมิตนี้ เป็นความพยายามจัดการกับความกังวลจากจีนและอินเดีย เกี่ยวกับสถานการณ์ในยูเครน หลังทั้ง 2 ประเทศ เพิ่มแรงกดดันให้รัสเซียยุติปฏิบัติการทางทหาร
การประชุมองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Cooperation Organization : SCO) ในอุซเบกิสถาน ประเทศอดีตสหภาพโซเวียต นำพา ปูติน และสี มาพบปะกัน เช่นเดียวกับบรรดาผู้นำของชาติสมาชิก SCO อย่างอินเดีย ปากีสถาน และ 4 ชาติเอเชียกลาง รวมถึงประธานาธิบดีอิหร่านและตุรกี
ปูติน และ สี พบปะกันเมื่อวันพฤหัสบดี (15 ก.ย.) ถือเป็นการพูดคุยแบบเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ รัสเซีย ส่งทหารบุกเข้าไปในยูเครนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ และมันถือเป็นการเดินทางเยือนต่างแดนหนแรกของผู้นำจีน นับตั้งแต่วันแรกๆ ของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เครมลินผลักดันให้เดินหน้าการประชุมนี้ในฐานะเป็นทางเลือกอื่นขององค์กรต่างๆ ที่มีตะวันตกเป็นศูนย์กลาง ในช่วงเวลาที่มอสโกกำลังเผชิญแรงกดดันหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับสงครามยูเครน และท่ามกลางความโกรธเคืองของจีนที่มีกับสหรัฐฯ ต่อกรณีวอชิงตันให้การสนับสนุนไต้หวันอย่างแข็งขัน
สี บอกกับบรรดาผู้นำที่มาร่วมประชุมว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องยกเครื่องระบบระหว่างประเทศ และละทิ้งเกมที่ต้องมีแพ้-ชนะ (zero-sum games) และการเมืองแบบรวมตัวเป็นกลุ่มก้อน (bloc politics) "พวกเขาควรร่วมกันส่งเสริมพัฒนาการของระบียบโลกในทิศทางที่สมเหตุสมผล" สีกล่าว
ส่วน ปูติน ยกย่องอิทธิพลที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของหลายประเทศนอกตะวันตก พร้อมตำหนิสิ่งที่เขาเรียกว่า การใช้นโยบายกีดกันทางการค้า มาตรการคว่ำบาตรและความเห็นแก่ตัวทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือ "บทบาทที่กำลังเติบโตขึ้นของศูนย์กลางอำนาจใหม่ที่ร่วมมือกันกับฝ่ายอื่นๆ กำลังชัดเจนและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ" ปูตินระบุ
เวทีนี้ถือเป็นการประชุมซัมมิตระหว่างประเทศเวทีแรกของ ปูติน นับตั้งแต่ส่งทหารเข้ารุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ จุดชนวนความขัดแย้งที่เข่นฆ่าชีวิตผู้คนแล้วหลายพันรายและพบเห็นรัสเซียเจอมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหลายระบอก
อย่างไรก็ตาม เอเอฟพีรายงานว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่นสำหรับผู้นำรัสเซีย โดยระหว่างการพูดคุยนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย บอกกับปูตินว่า "ผมรู้ว่าเวลาของวันนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับสงคราม" ปูติน ตอบกลับ โมดี ว่า เขาทราบถึงความกังวลของอินเดียเกี่ยวกับความขัดแย้ง ซึ่งเป็นถ้อยคำเกี่ยวกับที่เขาพูดกับ สี หนึ่งวันก่อนหน้านี้ "เราจะทำให้ดีที่สุดของเราเพื่อยุติสิ่งนี้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้" ปูตินกล่าว แต่กล่าวหายูเครนเป็นฝ่ายปฏิเสธการเจรจา
แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ทีให้สัมภาษณ์ว่า "ผมคิดว่าสิ่งที่คุณได้ยินจากจีนและอินเดีย สะท้อนความกังวลจากทั่วโลกเกี่ยวกับผลกระทบของการรุกรานยูเครนของรัสเซีย ผมคิดว่ามันเพิ่มแรงกดดันถาโถมใส่รัสเซียให้หยุดการรุกราน"
อย่างไรก็ตาม ปูติน กล่าวในเวลาต่อมาว่ารัสเซียไม่เร่งปิดฉากปฏิบัติการทางทหารในยูเครน "ปฏิบัติการจู่โจมของเราในตัวดอนบาสเองไม่ได้หยุดลง พวกเขากำลังรุกคืบอย่างช้าๆ กองทัพรัสเซียกำลังยึดครองดินแดนใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ" ปูตินกล่าวระหว่างแถลงข่าวในช่วงท้ายการประชุม "เราไม่รีบ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง"
ปูติน และ สี ยังได้พบปะกับประธานาธิบดีเรเจป ตัยยิบ แอร์โดอัน แห่งตุรกี ที่บอกกับพวกผู้นำที่มารวมตัวกันว่ากำลังมีความพยายามต่างๆ เพื่อยุติความขัดแย้งในยูเครนผ่านการทูต "เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้"
สำหรับ ปูติน การประชุมซัมมิตครั้งนี้เป็นการแสดงออกว่าเขาไม่ได้ถูกโดดเดี่ยวจากเวทีนานาชาติโดยสิ้นเชิง ในช่วงเวลาที่กองกำลังของเราในยูเครน กำลังประสบความพ่ายแพ้ในหลายสมรภูมิ
ในส่วนของ สี มันเป็นโอกาสสำหรับยกระดับความน่าเชื่อถือของตนเองในฐานะวีรบุรุษโลก ก่อนหน้าการประชุมอันสำคัญ การประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในเดือนตุลาคม ซึ่งคาดหมายอย่างกว้างขวางว่าเขาจะได้รับการรับรองให้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นสมัย 3 ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
(ที่มา : เอเอฟพี)