เป็นคำปราศรัยของปธน.ไบเดน ท่ามกลางความดุดันของสงครามรัสเซียบุกยูเครน ที่ไบเดนไปแสดงจุดยืนและนโยบายที่จะยืนอยู่ข้างรัฐบาลและประชาชนยูเครน ในการต่อสู้กับกองทัพอันเกรียงไกรของรัสเซีย
ซึ่งเขาจะมอบให้ทั้งอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมในคลังแสงของยูเครน เพราะผู้นำยูเครนได้กดดันขออาวุธ 1% ของอาวุธที่เหล่าประเทศในอียู, นาโต, จี 7 มีอยู่ ให้รีบส่งมาให้แก่กองกำลังของยูเครนที่กำลังร่อยหรอทางด้านอาวุธร้ายแรง เช่น ขีปนาวุธ Stinger และ Javelin เพื่อทำลายขีปนาวุธ, จรวด หรือโดรนที่ยิงมาจากรัสเซีย เจาะทั้งรถถังจำนวนมหาศาลที่รัสเซียระดมล้อมเพื่อเผด็จศึกตามเมืองสำคัญๆ รวมทั้งเมืองหลวง
แต่ไบเดนรวมทั้งผู้นำนาโต ต่างปฏิเสธที่จะส่งกองกำลังและอาวุธในการจัดตั้งเขตห้ามบิน (No-Fly Zone) รวมทั้งระบบขีปนาวุธที่ทรงพลังในการสกัดขีปนาวุธจากรัสเซีย (เช่นเดียวกับ Iron-Dome ที่เคยมอบให้กับอิสราเอล) เพราะเกรงว่า จะเป็นการประกาศว่านาโตและสหรัฐฯ ได้ยกระดับเข้ามาช่วยยูเครนจนกลายเป็นคู่สงครามเปิดหน้าฟาดฟันกับรัสเซียโดยตรง เพราะอาจเป็นการยั่วยุให้ฝ่ายรัสเซียจัดเอาอาวุธนิวเคลียร์ (แบบจำกัดขอบเขต-tactical media bomb) ออกมาใช้ เป็นการยกระดับของสงคราม และทำให้ขยายขอบเขตออกไปนอกยูเครนได้ ซึ่งจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของรัสเซียนี้ มีสูงที่สุดในโลกขณะนี้มีมากกว่าสหรัฐฯ ด้วยซ้ำ
ดังนั้น สุนทรพจน์ของไบเดนที่กรุงวอร์ซอ จึงมีท่วงทำนองดุดัน ส่งสารไปถึงปูติน, ชาวนาโต และรวมถึงประชาชนอเมริกันที่เป็นฐานเสียงของเขาในการเลือกตั้งกลางเทอมในปลายปีนี้
การที่ปธน.หนุ่มแห่งยูเครน ได้เลือกวิธีกดดันไปยังประเทศในนาโต, อียู และจี 7 ผ่านทางวิดีโอลิงก์ (ตามคำแนะนำรังสรรค์โดยบริษัทประชาสัมพันธ์ใหญ่ในวอชิงตัน ดี.ซี.-เปิดเผยโดยสื่อ Politico)-โดยเปลี่ยนจากขอความเห็นใจอย่างน่าสงสาร...มาเป็นกดดันแบบแดกดัน ให้ประเทศมั่งคั่งที่หนุนหลังรัฐบาลยูเครน (ให้ต่อสู้กับรัสเซียต่อไป)...ต้องทำหน้าที่ทั้งส่งอาวุธมาเสริม ขณะที่รอเวลาให้ฤทธิ์เดชของการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียซวนเซ และอาจถึงขนาดเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของปูตินได้ เมื่อประชาชนชาวรัสเซียจะลุกฮือขึ้นมาพร้อมกับบางส่วนของกองทัพรัสเซียที่ทนต่อสภาพเศรษฐกิจที่ล่มสลายยากลำบากไม่ไหว
เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นสมัยที่อาณาจักรโซเวียตล่มสลายในสมัยของอดีตปธน.กอร์บาชอฟ ที่มีความพยายามก่อปฏิวัติโค่นอำนาจ หลังจากนโยบายเปิดประเทศอย่างฉับพลันไม่เป็นผล...แต่ยังดีที่มีนายกเทศมนตรีกรุงมอสโกคือ บอริส เยลต์ซิน แหวกขึ้นมานำฝูงชนเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปได้สำเร็จ
ประโยคสุดท้ายในคำปราศรัยของไบเดนที่วอร์ซอนั้น ได้พูดว่า “เพื่อเห็นแก่พระเจ้า นายคนนี้ไม่ควรอยู่ในอำนาจต่อไป” ซึ่งเขาไม่ได้เอ่ยชื่อปูติน แต่ในตลอดคำปราศรัยนั้นได้เน้นย้ำถึงความโหดเหี้ยมอำมหิตของปูตินที่ได้ส่งกองทัพเข้าย่ำยียูเครน จนทำให้บ้านแตกสาแหรกขาด คนจำนวนมากถึง 25% ของประชากรยูเครนคือ 10 กว่าล้านคนจาก 44 ล้านคนต้องอพยพหนีการทิ้งระเบิด ไปอาศัยอยู่ในชนบท; เกือบ 4 ล้านคนต้องอพยพหนีจากยูเครนไปอาศัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน (ส่วนมากเป็นผู้หญิงและเด็กหรือคนชรา)
คำพูดของไบเดนนี้ ทำเอารมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ รวมทั้งทูตสหรัฐฯ ประจำนาโต ต่างดาหน้าออกมาอธิบายความหมาย (อย่างบิดเบือน) โดยบอกว่า ไบเดนหมายความถึงอำนาจของปูตินในการเข้ารุกรานประเทศต่างๆ แต่ไม่ได้หมายถึงนโยบายของสหรัฐฯ ที่จะเข้าแทรกแซงการเมืองภายในของรัสเซียด้วยการผลักดันให้มีการเปลี่ยนรัฐบาลที่เครมลิน
ขณะที่เหล่า ส.ส., ส.ว.รีพับลิกันในสภาสหรัฐฯ ต่างออกมาโจมตีคำพูดของไบเดน ว่าเป็นอันตรายมาก เพราะทำให้ภาพลักษณ์สหรัฐฯ เสียหาย ที่ทำตัวเป็นตำรวจโลก และเข้าแทรกแซงการเมืองของประเทศอื่นเพื่อล้มล้างรัฐบาลของรัสเซีย
รีพับลิกันโจมตีว่า ไบเดนพูดนอกสคริปต์ และชอบพูดหลายครั้งที่นอกสคริปต์คือ ปากไม่มีหูรูด แต่ทำให้เกิดความเสียหายแก่สหรัฐฯ เพราะเป็นการราดน้ำมันเข้าใส่ปูติน ในขณะที่ทั่วโลกกำลังพยายามให้มีการเจรจาหยุดยิงในยูเครน ไม่ใช่ให้การสู้รบลากยาวสร้างความปั่นป่วนไปทั่วโลกด้วยน้ำมันแพง, ขาดแคลนอาหารคน, อาหารสัตว์, ปุ๋ย รวมทั้งราคาวัตถุดิบและสินค้าต่างๆ ที่มีการขยับตัวสูงมาก เพราะการสู้รบทำให้สินค้าไม่สามารถเดินทางได้ตามปกติ และกระทบเศรษฐกิจของทั้งโลก
ประโยคที่ไบเดนพูดเป็นการส่งสัญญาณให้มีการโค่นล้มรัฐบาลปูตินให้ออกจากอำนาจนี้ ได้ถูกตอบโต้ทันควันจากโฆษกเครมลิน ที่ออกมาเยาะเย้ยว่า มีแต่ประชาชนรัสเซียเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐบาลได้ หมายถึงอย่าลืมว่า ปูตินมาจากการเลือกตั้ง ดังนั้น ผู้นำสหรัฐฯ จะมาสั่งให้เปลี่ยนรัฐบาลรัสเซีย แบบที่สหรัฐฯ เคยทำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วนตลอดช่วงสงครามเย็นที่ผ่านมา โดยส่งกองทัพหรือหน่วยรบพิเศษ หรืออาวุธยุทโธปกรณ์ ทั้งที่เป็นแบบลับๆ หรือทำอย่างโจ่งแจ้งเข้าไปในประเทศต่างๆ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล
ที่เห็นได้ชัดๆ จากภาพยนตร์ คนอเมริกันที่น่ารังเกียจ (The Ugly American) แสดงโดย ดาราใหญ่ มาร์ลอน แบรนโด ฉายเมื่อปี 1962 เป็นช่วงต้นของสงครามเวียดนาม ซึ่งสหรัฐฯ ก็ได้อยู่เบื้องหลังของการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในเวียดนามใต้ รวมทั้งอีกหลายๆ ครั้งที่หนุนหลัง (ในที่ลับและที่แจ้ง) ให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาลในหลายประเทศในอเมริกาใต้เช่น ที่ประเทศอาร์เจนตินา, ชิลี ซึ่งที่ชิลีถึงกับฝ่ายทำรัฐประหารได้รับความอุดหนุน ทั้งอาวุธและเงินทองจากซีไอเอและหน่วยงานความมั่นคง (นำโดยที่ปรึกษาความมั่นคงฯ ดร.คิสซิงเจอร์) จนโค่นรัฐบาลคุณหมออัลเยนเด้ ที่ตายอย่างอนาถถูกยิงในทำเนียบปธน.
และยังมีการส่งอาวุธและทำสงครามในการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลของอัฟกานิสถาน ของอิรัก (ซัดดัม ฮุสเซน) ของรัฐบาลกัดดาฟี (ในลิเบีย) ที่เวเนซุเอลา รวมทั้งรัฐบาลทหารของไทยในช่วงสงครามเวียดนาม ก็มีหลายชุดที่ซีไอเอและภายใต้นโยบายต่างประเทศ (และการทหาร) ของสหรัฐฯ หนุนหลังให้มีรัฐประหารครั้งแล้วครั้งเล่า
ที่น่าประหลาดใจคือ การที่ปธน.ไบเดน ออกมาพูดเป็นครั้งที่ 2 ยังตอกย้ำคำพูดเดิมว่า ไม่ใช่ “หลุด” ออกมาผิดที่ผิดทาง เพียงแต่คราวนี้ เขาออกมาอธิบายเองเลยว่า เป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจของเขาในฐานะส่วนตัวที่เขารู้สึกอย่างนั้นจริง แต่ไม่ใช่นโยบายต่างประเทศของรัฐบาลสหรัฐฯ
ซึ่งเมื่อย้อนหลังไปดูคำพูดของไบเดน ในช่วงที่เขาเป็น ส.ว.รัฐเดลาแวร์ เคยเป็นถึงประธานคณะกรรมาธิการต่างประเทศ เขาได้เคยไปเยือนรัสเซียหลายครั้ง ซึ่งครั้งหนึ่งเขาได้พบกับปธน.ปูติน และไบเดนได้พูดข้างหูของปูตินว่า “คุณเป็นคนที่ไม่มีจิตวิญญาณ (you don’t have a soul) เอาเสียเลย” นัยคือ คุณถูกฝึกมาจาก KGB สมัยสงครามเย็น และกลายเป็นคนเลือดเย็น ไม่รู้สึกรู้สากับความรู้สึกเจ็บปวดของคนอื่นนั่นเอง