xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตยูเครน...Russians Are Coming???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


แอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ (ซ้าย) จับมือกับเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ที่กรุงเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตกลับไปสำรวจตรวจสอบ “แนวรบยุโรปตะวันออก” หรือต้องแวะไปแถวๆ ประเทศยูเครนกันอีกเที่ยวนั่นแหละทั่น!!! เพราะเมื่อช่วงวันศุกร์สัปดาห์ที่แล้ว (21 ม.ค.) การพบปะเจรจา จับเข่า จับหัวหน่าวระหว่างรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ”กับรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายแอนโทนี บลิงเคน” ณ กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็ได้ปิดฉาก ปิดผ้าม่านกั้ง ลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...

โดยถ้าหากสรุปกันแบบสั้นๆ-ง่ายๆ หรือแบบ “ชาวบ้านๆ” ก็คงประมาณว่า...หนักไปทาง “ไปไหนมาสามวา-สองศอก” อะไรทำนองนั้น คือสรุปแบบไม่มีข้อสรุปเป็นชิ้น-เป็นอัน เพราะขณะที่ฝ่ายรัสเซียเขายังยืนหยัด ยืนกราน ที่จะขอให้ฝ่ายอเมริกาและนาโต เลิกคิดที่จะฉุดกระชากลากถูประเทศหน้าปากประตูบ้านรัสเซีย อย่างยูเครน เข้าไปเป็นสมาชิกนาโต อันทำให้ย่อมมีสิทธิ์ส่งทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ ประเภท “บ้องข้าวหลามยักษ์” แต่ละชนิด เข้าไปติดตั้งในประเทศนี้ได้สบายๆ หรือเลิกส่งทหารเข้าไปยังบรรดาประเทศที่เคยเป็นสมุนบริวารของอดีตประเทศสหภาพโซเวียต ในยุคสนธิสัญญาวอร์ซอเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว หรือให้ “หลักประกัน” โดยไม่ใช่แค่ “คำพูด”แต่ต้องเป็น “การกระทำ”ดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียพยายามย้ำแล้ว-ย้ำอีก ตาม “ข้อเสนอ” สองฉบับที่รัสเซียส่งให้กับอเมริกาและนาโต ว่าขอให้หยุดการแผ่ขยายอิทธิพลทางทหารเข้าไปประชิดติดพัน พรมแดนรัสเซีย อันถือเป็นความพยายาม “ละเมิดเส้นตาย” ยุทธศาสตร์ความมั่นคง ของประเทศหมีขาว โดยใช่เหตุ...

แต่ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา หรือเลขาธิการนาโต “พลเอกเจนส์ สโตลเตนเบิร์ก” (Jens Stoltenberg) ต่างออกอาการแบบเดียวกับ “คุณน้องช่อ”บ้านเราอะไรทำนองนั้น คือหันไปเอา “สีข้างเข้าถู”บ่ายเบี่ยงและปฏิเสธ ที่จะทำตามข้อเสนอของฝ่ายรัสเซีย ด้วยการอ้างถึง “เสรีภาพ” และ “อำนาจอธิปไตย”ของแต่ละประเทศ ที่จะตัดสินใจไปในแนวไหนก็ย่อมได้ โดยรัสเซียไม่มีสิทธิ์ “วีโต้” หรือคิดสั่งห้ามใดๆ ส่วนการให้ “หลักประกัน” ต่อรัสเซีย ในเรื่องความรู้สึกแห่งการขยายตัว ขยายอิทธิพล ของอเมริกาและนาโตเข้าไปยังปากประตูและหน้าต่างของรัสเซียยิ่งเข้าไปทุกที คงต้องรอไปประมาณอาทิตย์หน้า รัฐบาลอเมริกันถึงค่อยปรึกษาหารือ หรือค่อยให้ “คำตอบ”กันอีกที...

ดังนั้น...อะไรที่ยังคงร้อนฉ่า ร้อนแรง ก็ยังน่าจะร้อนๆ ต่อไปเรื่อยๆ ส่วนจะถึงขั้น “Russians Are Coming”หรือถึงขั้นรัสเซียคิดจะ “บุกยูเครน” ตามข้อสมมติฐาน ข้อวิเคราะห์ และ “ข้อกล่าวหา”ของอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก แบบชนิดเที่ยวแล้วเที่ยวเล่า ไม่ว่าปฏิเสธกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ไม่คิดจะเชื่อ อันนั้น...คงต้องรอดูกันต่อไป หรือคงต้องติดตามภาค 2 ภาค 3 ภาคพิสดารกันไปตามลำดับ เพราะนอกเหนือไปจากการ “บุก-ไม่บุกยูเครน” แล้ว ฝ่ายรัสเซียเขาคงยังมี “หน้าไพ่”ให้เล่นอีกเยอะอย่างที่รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ รียาคอฟ” (Sergei Ryabkov) ได้พูดเอาไว้เป็นนัยๆ แบบสองแง่สองง่าม หลังจากได้พบปะกับรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอเมริกาก่อนหน้านั้นไม่นานนัก ว่ารัสเซีย “ไม่ยืนยันและไม่ปฏิเสธ” (neither confirm nor exclude) สำหรับ “ความเป็นไปได้”ที่อาจส่งทหารหรืออาวุธยุทโธปกรณ์เข้าไปติดตั้งแถวๆ ปากประตูหน้าบ้านคุณพ่ออเมริกาเอาไว้มั่ง ไม่ว่าจะในประเทศ “สวนหลังบ้าน”ของอเมริกา อย่างคิวบาหรือเวเนซุเอลา ก็ตาม ส่วนจะเป็นแค่การคุยโม้-คุยโต เกทับ บลัฟฟ์แหลก หรือไม่ อย่างไรนั้น คงต้องเก็บไปคิดเป็น “การบ้าน” เอาเองก็แล้วกัน...

เพราะในอดีตที่ผ่านมา...ไม่ว่าครั้งที่รัสเซียยังคงเป็น “สหภาพโซเวียต” หมีขาวตัวนี้ก็เคยแอบเล็ดรอดเข้าไปติดตั้งขีปนาวุธในคิวบา จนกลายเป็น “วิกฤตคิวบา”หรือ “วิกฤตแคริบเบียน”ชนิดแทบ “ช็อกโลก”มาเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว หรือเมื่อ 2-3 ปีมานี้นี่เอง เมื่อครั้งยุค “ทรัมป์บ้า” ยังคงเป็นผู้นำประเทศ ที่กองทัพอเมริกาทำท่าว่าคิดจะ “บุกเวเนซุเอลา” เพื่อหวังเชิดประธานาธิบดีหุ่น อย่าง “นายฮวน ฆวยโต”หรือ “กุยโด”ให้กลายไปเป็นผู้นำประเทศนี้แทนที่จะเป็นประธานาธิบดีที่มาจากการเลือกตั้ง อย่าง “นายนิโคลัส มาดูโร” ช่วงประมาณเดือนมีนาคมปี ค.ศ. 2019 ครั้งนั้น...ถ้าไม่ได้รัสเซีย ส่งกำลังทหารรวมทั้งเข้าไปติดตั้งระบบป้องกันภัยทางอากาศอย่าง “S-300”อันเป็นไปตามสนธิสัญญา ข้อตกลง ที่รัสเซียและเวเนซุเอลาได้เคยทำเอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.2001 ป่านนี้...อเมริกาอาจ “งาบเวเนซุเอลา” เข้าปาก เข้าคอหอย เหมือนกับที่พยายามกล่าวหารัสเซียว่าคิดจะ “งาบยูเครน” ในช่วงระยะนี้เอาเลยก็ไม่แน่!!!

แต่ก็นั่นแหละ...ความเป็นไปได้ในลักษณะทำนองนี้ ก็คงเป็นไปตามคำกล่าวของรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซียเขานั่นเอง คือ “ไม่ยืนยันและไม่ปฏิเสธ” เพราะการสร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ความพยายาม “ยั่วยวนกวนส้นตีน”หมีขาวรัสเซียใน “แนวรบยุโรปตะวันออก”ของคุณพ่ออเมริกาและนาโตช่วงนี้ แม้แต่ชาวอเมริกันเอง อย่างเช่นอดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลเรแกน “ดร.พอล เครก โรเบิร์ต” (Paul Craig Roberts) ที่เคยเป็นถึงสมาชิกคณะกรรมาธิการเตือนภัยถึงอันตรายของยุคสงครามเย็น ท่านยังออกจะเห็นควรด้วย หรือเห็นอก เห็นใจ หมีขาวตัวนี้มิใช่น้อย ดังที่ได้กล่าวเอาไว้กับผู้สื่อข่าวรัสเซียอย่างคุณ “Ekaterina Blinova” เอาไว้ประมาณว่า การหาทางคลี่คลายความรู้สึกถึง “ภัยคุกคาม”ของรัสเซีย โดยอเมริกาและนาโต เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่หยิบเอาบทเรียน บทศึกษา เมื่อครั้งที่อดีตประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “นายจอห์น เอฟ. เคนเนดี”และอดีตประธานาธิบดีโซเวียตรัสเซีย “นายนิกิต้า ครุปชอฟ”เคยร่วมมือ-ร่วมใจในการหยุดยั้ง “วิกฤตคิวบา”ไม่ให้ลุกลามบานปลาย จนหวิดๆ กลายเป็น “สงครามโลกครั้งที่ 3” ไปซะก่อนหน้านั้น...

คือเพียงแค่อเมริกาตัดสินใจถอนการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ในอิตาลีและตุรกีออกไปก่อน พร้อมๆ กับสหภาพโซเวียตยอมถอนการติดตั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ในคิวบา บรรยากาศแห่ง “สันติภาพ”ย่อมสามารถหวนคืนกลับมาได้ไม่ยาก แม้จะเป็นแค่ “สันติภาพชั่วคราว”ก็ตามที อีกทั้งการยอมรับ “ข้อเสนอ”ของรัสเซียที่ถูกส่งไปยังอเมริกาและนาโตช่วงล่าสุด ก็เป็นสิ่งที่อเมริกาและพันธมิตรตะวันตกไม่ว่าอังกฤษหรือเยอรมนี ก็เคยยอมรับมาก่อนด้วยกันทั้งสิ้น ถือเป็นคำมั่นสัญญา คำรับรองที่เคยให้ไว้กับอดีตประธานาธิบดีโซเวียต อย่าง “นายมิคาอิล กอร์บาชอฟ” ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1990 ว่าอเมริกาและตะวันตกไม่คิดจะขยายอำนาจอิทธิพล เข้าไปในประเทศที่อยู่ในกลุ่มสนธิสัญญาวอร์ซอโดยเด็ดขาด แต่ครั้นเมื่ออดีตประเทศสหภาพโซเวียตล่มสลาย การส่งกำลังทหาร ส่งอาวุธยุทโธปกรณ์ เข้าไปในประเทศโปแลนด์ ลิธัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนียของอเมริกาและนาโต จึงไม่ได้ต่างอะไรไปจากการฉกฉวยโอกาส แบบดื้อๆ ทื่อๆ หรือแบบ “ด้านได้-อายอด”ทำนองนั้น...

ดังนั้น...การแสวงหาสันติภาพ ในกรณี “วิกฤตยูเครน” จึงไม่ได้ต่างอะไรไปจาก “วิกฤตคิวบา” นั่นเอง นั่นคือเมื่อไหร่ก็ตามที่อเมริกาและนาโต ยอมรับข้อเสนอของรัสเซีย โอกาสที่ทหารในกองทัพหมีขาวจำนวนนับแสนๆ นาย จะถอยกลับไปปักหลัก ณ ที่ตั้ง ไม่คิดเข้ามาป้วนเปี้ยน เคลื่อนไหว ซ้อมรบคราวแล้วคราวเล่า ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ!!! แต่ก็นั่นแหละอย่างที่ว่าเอาไว้แล้วว่า ด้วยเหตุเพราะ “ศัตรูที่แท้จริงของอเมริกา” เอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันคงไม่ใช่ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณน้ารัสเซียหรือแม้กระทั่งคุณพี่จีนเอาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็น “ปัญหาภายใน” ของอเมริกานั่นเอง ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจหรือสังคมก็แล้วแต่ การหาทาง “ยั่วยวนกวนส้นตีน” สร้างความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ต่อ “ศัตรูภายนอก” เพื่อปกปิด และเบี่ยงเบน “ปัญหาภายใน” มันจึงกลายเป็น “ข้อเท็จจริง”อันมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ บรรยากาศความตึงเครียดและการเผชิญหน้า ไม่ต่างไปจากการหวนกลับไปสู่ “สงครามเย็นยุคใหม่” เลยเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว น่า “อันตราย” ไม่ว่าต่อชาวอเมริกัน ชาวยุโรป ชาวรัสเซีย หรือกระทั่งต่อชาวโลกทั้งโลกเอาเลยก็ว่าได้...




กำลังโหลดความคิดเห็น