เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเริ่มด้วยการแวะกลับไปแถวๆ “แนวรบยุโรปตะวันออก” อีกเที่ยวนั่นแหละทั่น!!! เพราะช่วงนี้ต้องเรียกว่า “ฝ่ายตะวันตก” ไม่ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูง ระดับรัฐมนตรี ระดับที่ปรึกษาความมั่นคง ตลอดไปจนถึง “สื่อกระแสหลัก” ฯลฯ เขาต่างโหมตีปี๊บ ออกข่าว สร้างข่าว ในเรื่องกองทัพรัสเซียคิดจะ “บุกยูเครน” ภายในช่วงหน้าหนาว หรือในอีกช่วงไม่กี่วันที่จะถึงนี้ แบบชนิดเอาเรื่อง-เอาราว เป็นเรื่อง-เป็นราว จนถึงไม่เชื่อ...เผลอๆ อาจต้องเชื่อจนได้เอาเลยก็ไม่แน่...
ถึงขั้นที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งทำเนียบขาว... “นายJake Sullivan” ออกมาปูดข่าว ให้ข่าว เมื่อช่วงวันศุกร์ (14 ม.ค.) ที่ผ่านมา อ้างถึง “ข่าวกรอง” ที่น่าเชื่อถือได้ ว่ารัสเซียกำลังคิดส่งหน่วยปฏิบัติการภาคพื้นดิน เข้ามายังพื้นที่ “Donetsk” และ “Lugansk” ของยูเครน เพื่อ “สร้างสถานการณ์ร้ายๆ” ประเภทก่อวินาศกรรม หรืออะไรต่อมิอะไรทำนองนั้น อันจะเป็น “เงื่อนไข” และ “เหตุปัจจัย” ที่จะทำให้กำลังทหารรัสเซียนับแสนๆ นาย ที่ออกันอยู่บริเวณพรมแดนรัสเซีย-ยูเครน สามารถบุกเข้ามางาบยูเครน เหมือนอย่างที่เคยงาบไครเมียมาก่อนหน้านั้น...
แม้ว่ารัสเซียเขาจะออกมาปฏิเสธเที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า ว่าไม่คิดจะบุก และไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องบุก แต่เหตุที่ต้องส่งทหารไปออกันอยู่บริเวณพรมแดนยูเครน ไปซ้อมรบภายในดินแดนตัวเอง ก็ด้วยเหตุเพื่อเป็นการ “ป้องปราม” การ “เบ่งกล้าม” ให้บรรดาคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก “อย่าคิดแหย่เสือหลับ” หรือ “หมีหลับ” อะไรทำนองนั้น เพราะเท่าที่ผ่านมา อย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ท่านได้บอกกับบรรดาผู้สื่อข่าว ระหว่างที่มีการพบปะเจรจากับตัวแทนสหรัฐฯ และนาโต ที่กรุงเจนีวา ในเรื่องราวดังกล่าวไปแล้วนั่นแหละว่า “ฝ่ายตะวันตก” ซะมากกว่า ไม่ว่าทหารอเมริกัน อังกฤษ แคนาดา ที่พยายามสร้างความเปรี้ยวแล้ว เปรี้ยวเล่า ให้กับรัสเซีย ไม่ว่าความพยายามแผ่ขยายอำนาจ อิทธิพลทางทหาร เข้ามาในประเทศแถบบอลติก หรือประเทศที่เคยเป็นพันธมิตรกับโซเวียตรัสเซียสมัยสงครามเย็น หรืออดีตประเทศ “Warsaw Pact” มาก่อน พยายามสร้างฐานทัพของฝ่ายตะวันตกขึ้นมาในทะเลดำและทะเลอาซอฟ ไปจนถึงความพยายามฉุดกระชากลากถูให้ประเทศยูเครน ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียตรัสเซีย กลายไปเป็นสมาชิกนาโต เพื่อที่จะสามารถส่งกองทหาร หรือส่งจรวดที่สามารถยิงใส่กรุงมอสโกภายในชั่วเวลาแค่ 5 นาที เข้ามาติดตั้งในประเทศนี้...ฯลฯ
ดังนั้น...การซ้อมรบ หรือเบ่งกล้าม ภายในดินแดนตัวเองของกองทัพรัสเซียคราวนี้ ต้องเรียกว่า...เป็นอะไรที่ชิลๆ หรือออกจะหีดหุ้ยซะเหลือเกิน โดยเฉพาะถ้านำเอา “วิกฤตคิวบา” ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว มาเปรียบเทียบกับ “วิกฤตยูเครน” คราวนี้ คือครั้งนั้น...แค่ประเทศที่อยู่หน้าปากประตูของคุณพ่ออเมริกาอย่างคิวบา เขากลัวว่ารัฐบาลอเมริกันอาจคิดบุกเล่นงานเขา เหมือนอย่างที่เคยบุกๆ มาแล้วในการยกพลขึ้นบกที่ “Bay of Pigs” แต่ดันล้มเหลวไปซะก่อนหน้า เขาเลยต้องหันไปเชื้อเชิญโซเวียตรัสเซียให้เข้ามาติดตั้งจรวดเอาไว้ในดินแดนคิวบาเพื่อป้องกันตัวเอาไว้ก่อนล่วงหน้า แต่พอดาวเทียมอเมริกันจับภาพ จับสังเกต ความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้เท่านั้น “ปฏิกิริยา” ในการตอบโต้โซเวียตรัสเซียช่วงนั้น ต้องเรียกว่าดุเดือดเลือดพล่าน กว่ารัสเซียช่วงนี้ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า ถึงขั้นประชุมฉุกเฉินร่างแผนรบเตรียมโจมตีคิวบาทั้งทางทะเล อากาศ ภาคพื้นดิน ส่งเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน ออกลาดตระเวนในเขตน่านน้ำสากล ห้ามไม่ให้เรือโซเวียตรัสเซียเข้ามาในแถบทะเลแคริบเบียนโดยเด็ดขาด จนหวิดๆ จะเกิด “สงครามโลกครั้งที่ 3” ขึ้นมาในช่วงนั้น...
แต่สำหรับ “ปฏิริยา” ของรัสเซียต่อความเคลื่อนไหวต่างๆ นานาของอเมริกาและนาโต ที่พยายามสร้างแรงกดดันให้รัสเซียดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศ “นายSergey Lavrov” ได้กล่าวไปแล้ว ฝ่ายรัสเซียอ้างว่า...เขาได้แสดงออกไปตาม “ลำดับขั้น” และแม้กระทั้งขั้นล่าสุด คือขั้นการพบปะเจรจา ระหว่างรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Ryabkov” กับรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอเมริกา “นายWendy Sherman” ที่กรุงเจนีวา ตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว (10 ม.ค.) เป็นต้นมา ก็ล้วนแล้วแต่แสดงให้เห็นถึงความ “อดทน-อดกลั้น” ของรัสเซียมาโดยตลอด โดยเฉพาะความพยายามที่จะหาทางทำให้การเจรจาดังกล่าวนำไปสู่การขจัด “ความตึงเครียด” แบบทั้งสิ้น ทั้งปวง ไม่ว่าการหยุดยั้งความพยายามที่จะขยายอิทธิพลทางทหารของตะวันตกเข้าสู่ชายแดนรัสเซีย ควบคุมหรือให้หลักประกันต่อการติดตั้งจรวดในดินแดนดังกล่าวที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อรัสเซีย หรือหยุดยั้งการคิดจัดตั้งฐานทัพทางทหารในอดีตประเทศ “Warsaw Pact” ฯลฯ อันถือเป็น “ข้อเสนอ” ที่รัสเซียพยายามเรียกร้องให้อเมริกาและนาโต เห็นดี เห็นงาม กับสิ่งเหล่านี้ เหมือนอย่างครั้งที่อเมริกายุคอดีตประธานาธิบดี “จอห์น เอฟ.เคนเนดี” และอดีตผู้นำโซเวียตรัสเซีย “นายนิกิต้า ครุสชอฟ” สามารถร่วมหยุดยั้งการจุดชนวน “สงครามโลกครั้งที่ 3” ได้สำเร็จ เพราะโซเวียตตัดสินใจเลิกติดตั้งจรวดในคิวบา และอเมริกายกเลิกการตรวจการณ์ทางทหารในทะเลแคริบเบียน ให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่โจมตีคิวบา รวมทั้งการรื้อถอนขีปนาวุธพิสัยไกล (Thor-IRBMs) ที่อาจเป็นภัยคุกคามโซเวียตรัสเซีย ออกจากอิตาลีและตุรกี นั่นเอง...
แต่โดย “ปฏิกิริยา” ของอเมริกาและนาโตคราวนี้...ดูจะต่างไปจากครั้งอดีตประธานาธิบดี “เคนเนดี” เอามากๆ คือยังคงเพียรพยายามสร้าง “ความเปรี้ยว” ให้กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียอย่างเป็นงาน-เป็นการเป็นระบบและกิจการ ไม่ต่างไปจากการสร้างความเปรี้ยวให้กับคุณพี่จีน ใน “แนวรบด้านทะเลจีนใต้” นั่นเอง ชนิดที่ส่งผลให้รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Lavrov” ถึงกับต้องบ่นระบายกับบรรดาผู้สื่อข่าวประมาณว่า... “ความอดทนของเรา (ต่ออเมริกาและตะวันตก) กำลังจะสิ้นสุด แม้เราพยายามอดทนอย่างมากและอดกลั้นเอาไว้เป็นเวลานาน และเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว...เราคงต้องหาทางทำอะไรมั่ง” โดยจะหมายถึงการทำอะไรต่อมิอะไรนั้น ท่านรัฐมนตรีท่านก็ไม่ได้ให้รายละเอียดเอาไว้ แต่ก็คงหนีไม่พ้นต้องส่งผลให้ “แนวรบยุโรปตะวันออก” มีอันต้องร้อน...กับ...ร้อน อีกต่อไป อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
แต่จะถึงขั้น... “บุก-ไม่บุก...ไม่บุกก็อย่าบุก” ต่อประเทศยูเครนที่ถูกการ “ปฏิวัติสี” ของอเมริกาและตะวันตก เปลี่ยนสภาพให้กลายเป็นฝ่าย “โปรอเมริกัน” ไปจนได้ หรือไม่ อย่างไร ก็ยังยากที่จะสรุปได้ เพราะดังที่สื่อทางการของจีน อย่าง “Global Times” เขาเคยได้ตั้งข้อสังเกต ข้อวิเคราะห์ เอาไว้นั่นแหละว่า โดยความพร้อมหรือโดยความปรารถนาต้องการของอเมริกา คงไม่ถึงขั้นที่คิดจะ “เปิดศึก” กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียแบบชนิดตรงไป-ตรงมา แต่การหาทางสร้าง “ความตึงเครียด” ให้กับมหาอำนาจคู่แข่งทั้งสองให้หนักๆ ให้แรงๆ เข้าไว้ อาจถือเป็น “ยุทธศาสตร์ความมั่นคง” ของอเมริกาในช่วงนี้ก็ว่าได้ ด้วยเหตุเพราะ “ความตึงเครียด” ทั้งหลาย ยังพอช่วยให้อเมริกาสามารถดำรงรักษาบทบาทและอิทธิพลของตัวเอง ต่อบรรดา “พันธมิตร” ในแต่ละภูมิภาค ไม่ให้ตกต่ำ เสื่อมโทรมเกินไปกว่านี้ แม้ว่ายุทธศาตร์ดังกล่าวออกจะเป็น “อันตราย” เอามากๆ เพราะโอกาสที่จะควบคุมไม่ให้มันเกิดลุกลามบานปลาย ในฉากสถานการณ์แต่ละห้วง แต่ละระยะนั้น แทบไม่ต่างอะไรไปจากการ “เล่นกับไฟ” อะไรประมาณนั้น...
แต่อาจด้วยเหตุเพราะสถานการณ์ภายในประเทศอเมริกาเอง ไม่ว่าในแง่เศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองก็แล้วแต่ มันทำให้มหาอำนาจสูงสุดผู้เติบโตขึ้นมาจาก “ลัทธิจักรวรรดินิยม” ประเทศนี้ แทบไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกซะจากต้อง “เล่นกับไฟ” หรือต้องหาทางทำให้ “ศัตรูภายนอก” ของตัวเอง น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ดังนั้น...การสร้าง “ความตึงเครียด” ในแนวรบต่างๆ จึงเป็นสิ่งที่คงต้องดำเนินสืบเนื่องต่อไป ไม่ต่างอะไรไปจากการไต่ขอบเหว ไต่ประตูนรก ไปจนกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มันจะโป๊ะๆ เช๊ะๆ หรือจนกว่ามิอาจควบคุมอีกต่อไปได้...นั่นเอง...