เมื่ออาทิตย์ก่อน ปธน.วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ได้จัดแถลงสื่อมวลชนส่งท้ายปี (เป็นประเพณี) อย่างเปิดอก ซึ่งเขาได้ตอบโต้ข้อกล่าวหาของสหภาพยุโรป และสหรัฐฯ อย่างเผ็ดร้อน เขาโยนความผิดไปยังฝ่ายตะวันตกที่ได้ยั่วยุ (ก่อน) ต่อรัสเซีย ด้วยการระดมเสริมกำลังทหารพร้อมแสนยานุภาพอาวุธยุทโธปกรณ์ร้ายแรงอยู่เต็มยูเครน จนถึงชายแดนที่คั่นระหว่างยูเครนและรัสเซีย ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นการคุกคามต่อเสถียรภาพและความสงบสุขของรัสเซีย จึงทำให้รัสเซียต้องระดมกองกำลังอันเกรียงไกรของรัสเซียเกือบ 2 แสนมาที่พรมแดนด้านยูเครน และจำเป็นต้องมาซ้อมรบที่ชายแดน เพื่อความปลอดภัยของรัสเซียต่างหาก
เขาได้เน้นว่า เป็นการขยายกองกำลัง NATO (หรือ NATO Enlargement) เพื่อแผ่อาณาเขตเข้ามายังยูเครน โดยก่อนหน้านั้น ก็ได้ขยายไปยังโปแลนด์และกลุ่มประเทศในทะเลบอลติกคือ ลัตเวีย, เอสโตเนีย และลิทัวเนีย รวมทั้งจอร์เจียซึ่งประเทศเหล่านี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต หรือกรณีโปแลนด์ก็เป็นดินแดนที่ประชิดติดกับรัสเซีย และกองกำลังผสมหรืออิทธิพลของนาโตกำลังคุกคามต่อความสงบสุขของรัสเซียนั่นเอง
เขาเน้นว่า ฝ่ายสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (ซึ่งเป็นแกนนำของนาโต) กำลังละเมิดต่อสัญญาที่ได้ทำไว้อย่างไม่เป็นทางการในช่วงที่สหภาพโซเวียตได้ล่มสลาย ว่าการขยายตัวของนาโตจะต้องไม่เข้ามาใกล้ประชิดพรมแดนของรัสเซีย โดยเฉพาะกับประเทศที่เคยอยู่ในสหภาพโซเวียต และเป็นประเทศที่เคยเป็นบริวารของโซเวียต เพราะทำให้รัสเซียในปัจจุบันตกเป็นเป้าที่นาโตอาจโจมตีอย่างทันควันต่อมอสโกด้วยอาวุธทันสมัยที่ติดตั้ง (โดยตะวันตกหรือนาโต) ในดินแดนเหล่านั้น
เขาบอกว่า รัสเซียต้องสู้ เพราะถอยไม่ได้อีกแล้ว...หลังชนฝา...เมื่อหน้าบ้าน “ของเรา” มีการติดตั้งอาวุธอันตรายร้ายแรงต่อเราถึงขนาดนี้
และปีนี้ก็เป็นปีที่ครบรอบ 30 ปีแห่งความอัปยศที่สหภาพโซเวียตต้องล่มสลาย แตกเป็นเสี่ยงๆ รัฐเล็กรัฐน้อย ไม่เป็นปึกแผ่นยิ่งใหญ่อย่างในอดีต-ตั้งแต่จักรวรรดิรัสเซีย...สืบมาจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช ที่กรีธาทัพไปตีเมืองต่างๆ มาเป็นเมืองขึ้น ขยายจักรวรรดิกว้างใหญ่ไพศาล
นั่นคือ การล่มสลายของโซเวียตเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1991 ขณะที่วลาดิมีร์ ปูติน เป็นแค่พันโทในกองทัพ และทำงานกับหน่วย KGB อยู่ที่เมืองเดรสเดนในเยอรมันตะวันออก
ในสารคดีนำออกฉายทางสถานีโทรทัศน์ช่องที่ 1 ของรัสเซีย (Channel 1) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคมนี้ ในวาระครบรอบ 30 ปีของการล่มสลายของโซเวียต ปธน.ปูตินได้ให้สัมภาษณ์ในสารคดี โดยเขาพูดสั้นๆ ว่า มันเป็นเวลาที่ยากแค้นทั้งประเทศ ที่เขาไม่อยากพูดถึงนัก เพราะขณะนั้นเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์พังทลายของกินของใช้ขาดแคลนอย่างยิ่ง และมีราคาแพงลิบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงลิ่ว (เพราะโซเวียตไม่มีผลผลิตด้านอาหารการกิน; ไม่พอเพียง ต้องสั่งนำเข้าแทบทุกอย่าง; พวกรัฐที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโซเวียต และปลีกออกมาเป็นเอกราชหลังการล่มสลายของโซเวียต ยิ่งทำให้สินค้าอาหารที่ผลิตในดินแดนอดีตรัฐของโซเวียต ไม่มีอาหารเพียงพอที่จะส่งมาเลี้ยงรัสเซียได้)...สินค้าทั้งขาดแคลนและราคาสูงลิ่ว ขณะที่รัฐบาลที่มอสโกก็ระส่ำระสายหนัก ในการแตกสลายของรัฐต่างๆ และการประท้วงทุกหัวระแหงของรัสเซีย ขณะที่มีการต่อสู้เพื่อชิงผู้นำของรัสเซียคนใหม่ต่อจากกอร์บาชอฟ
ปูตินยอมรับว่า การขาดแคลนเงินเดือนของข้าราชการมีอยู่ถ้วนทั่วทั้งประเทศ เมื่อรัฐบาลกำลังระส่ำ; เขาพูดสั้นๆ ว่า เขาจำเป็นต้องไปหารายได้เสริมด้วยการไปขับรถ Volga (ยี่ห้อของรัสเซีย) คันเดียว (ส่วนตัว) ของเขาในกลุ่มพูลของแท็กซี่ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นช่วงยากลำบากในชีวิตของเขาและครอบครัว
ถ้าย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ จะมีก็แต่รัสเซียเท่านั้นที่สามารถปราบ (เซียน) ได้ถึง 2 ครั้ง 2 คราใหญ่ๆ...
ครั้งแรกก็คือ ปราบนโปเลียนที่ซ่ามาก และเกรียงไกรจนปราบเหล่าประเทศต่างๆ ในยุโรปมาอยู่ใต้ปีก แต่ก็มาเสียท่ากับความหนาวเหน็บของรัสเซียและกลยุทธ์ที่ทำลายข้าวปลาอาหารไม่เหลือไว้ให้แก่กองกำลังของนโปเลียนแม้ข้าวสักเม็ดเดียว
ครั้งที่สองคือ ปราบฮิตเลอร์ที่แผ่อิทธิพลยกกองทัพเข้ายึดครองดินแดนทั้งในยุโรป และแอฟริกา แต่ก็ไม่สามารถยึดเมืองเลนินกราดของรัสเซียได้เลย
การล่มสลายของโซเวียตเทียบได้กับศตวรรษแห่งความอัปยศของจีนทีเดียว
แต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตคือการแพ้ภัยตนเอง หรือระบอบคอมมิวนิสต์ที่ไร้ประสิทธิภาพที่จะดูแลอาณาจักรโซเวียตอีกต่อไป (ประหนึ่งการล่มสลายของอาณาจักรโรมัน)...ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ปธน.สี ของจีนกำชับให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนศึกษาอย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นเยี่ยงอย่างทางการล่มสลายของจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย และทำให้สีได้ดำเนินนโยบายปราบคอร์รัปชันอย่างเด็ดขาด, จัดระเบียบกิจการที่ผูกขาดเอารัดเอาเปรียบประชาชน และสร้างความมั่งคั่งเหลื่อมล้ำจนอาณาจักรต้องล่มสลาย รวมถึงการปล่อยให้มีการแสดงความคิดเห็นและการประท้วงทุกหัวระแหงในการเปิดประเทศและการปฏิรูปอย่างไม่มีแผนรองรับ
ดังที่ฮิลลารี คลินตัน อดีต รมต.ต่างประเทศสหรัฐฯ (รวมทั้งฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ) วิเคราะห์ว่า ปูตินต้องการสร้างอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ในอดีตให้หวนคืนมา ซึ่งกรณียูเครนคือสิ่งที่ปูตินยอมไม่ได้ที่จะเอาใจออกห่างจากรัสเซีย
และที่ปูตินได้ใกล้ชิดกับทรัมป์ ขนาดร่วมมือส่งข่าวปลอมไปให้ฐานเสียงของฮิลลารี และพวกอิสระที่อาจลงคะแนนให้ฮิลลารี เพื่อให้ทรัมป์ชนะเป็น ปธน.สหรัฐฯ เพราะปูตินแค้นต่อฮิลลารีที่ต่อต้านแผนขยายอิทธิพลของปูติน
ซึ่งความใกล้ชิดระหว่างทรัมป์กับปูตินนั้น จะมีจุดที่เหมือนกันในด้าน Make America Great Again (คือ ให้คนผิวขาวเป็นใหญ่ปกครองประเทศเหมือนอดีต) กับ Make Russian Great Again ให้กลับมาเป็น Russian Empire อย่างในอดีต!
ปูตินได้ผนวกแหลมไครเมียไปอยู่กับรัสเซียแล้วตั้งแต่ปี 2014... ไม่ใช่ด้วยการทำสงครามเข้ายึดครอง...แต่เพราะสภาแห่งไครเมียได้ลงคะแนนท่วมท้น-ขอกลับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
ปูตินมองทะลุว่า สหรัฐฯ กำลังสาละวนกับอินโด-แปซิฟิก เพื่อปิดล้อมจีน และจะไม่ส่งทหารมาช่วยยูเครนแน่ รวมทั้งสหภาพยุโรปก็กำลังสู้สงครามกับโควิดด้วย
เขาจึงยังคงกองกำลังเกือบ 2 แสนปักหลักอยู่ที่พรมแดน และไม่วิตกนักถ้าตะวันตก (ทั้งสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป) จะเพียงคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัสเซีย ซึ่งขณะนี้มีหลังอิงที่เขตพัฒนาที่โพ้นทะเลตะวันออก (Vladivostok) มีน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่ยุโรปต้องพึ่งพิงอย่างมากด้วย