วันนี้แรกๆ...กะว่าจะชวนให้แวะไปดูคุณพ่ออเมริกาเขาอีกสักรอบ เพราะช่วงระหว่างนี้กำลังต้องคิดสู้กับใครต่อใครชนิดอุตลุด ชุลมุนวุ่นวายไปหมด ไม่ว่าสู้กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างหมีขาวรัสเซียในแนวรบยุโรปตะวันออก สู้กับพญามังกรจีนในแนวรบทะเลจีนใต้ แถมในประเทศยังหนีไม่พ้นต้องสู้กับท่านเชื้อไวรัสโควิด ไม่ว่าสายพันธุ์เดลตา โอมิครอน กันในระดับ “ตาย-เป็ง-ตาย” บวกด้วยการต้องสู้กับภาวะเงินเฟ้อ สู้กับการผิดนัดชำระหนี้ ไปจนสู้กับความแตกแยกภายในสังคมที่ยังหาจุดลงตัวแทบไม่ได้ แม้จะเตรียม “Democracy Summit” อีกไม่กี่วันนับจากนี้ ชนิดที่อภิมหาเศรษฐีอเมริกันอย่าง “นายRay Dalio” ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่าง “Bridgewater Association” ต้องออกมาทำนายทายทักว่าอาจเกิด “สงครามกลางเมือง” ครั้งใหม่ในอเมริกา นับจากนี้ไปอีก 10 ปีข้างหน้าเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
แต่เผอิญว่า...เหลือบไปเห็นข่าวแวบๆ ว่าเมื่อช่วงวันเสาร์ (4 พ.ย.) ที่ผ่านมา ได้เกิดเสียงระเบิดตูมๆ ตามๆ ขึ้นมาแถวๆ โรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ อันเป็นศูนย์กลางแห่งการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่สำคัญเอามากๆ ของประเทศอิหร่านเขา คือโรงงาน “Natanz” ที่อยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศ เลยต้องขออนุญาตเลื่อนการผิดนัดชำระหนี้ (ประทานโทษ) เลื่อนการหวนกลับไปพูดคุยแลกเปลี่ยนในเรื่องคุณพ่ออเมริกาเอาไว้ก่อน เพราะรายการตูมๆ ตามๆ แถวๆ โรงงานนิวเคลียร์อิหร่านในช่วงระหว่างนี้ มันอาจเกี่ยวโยง พัวพัน ไปถึงเรื่องการนั่งโต๊ะเจรจา “รอบที่ 7” ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับอิหร่านรวมทั้งบรรดาประเทศที่อยู่ร่วมในข้อตกลง “JCPOA” หรือ “Joint Comprehensive Plan of Action” ไม่ว่าจะเป็นจีน รัสเซีย เยอรมนี ฝรั่งเศสและอังกฤษ ที่กำลังเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ อยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย โดยยังไม่รู้จะออกหัว ออกก้อย ออกหมู่ ออกจ่า หรือออกสารวัตรกันแน่ จนอาจกลายเป็นชนวนเหตุในการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาในแนวรบตะวันออกกลาง ดังที่ได้เปิดฉากเกริ่นนำเอาไว้เมื่อช่วงวันวานนั่นแล...
คือรายการตูมๆ ตามๆ ในคราวนี้...นอกจากจะเป็นแค่ “เสียงระเบิด” ที่ดังสนั่นหวั่นไหว ยาวไกลไปถึงผู้ที่อยู่ห่างไปประมาณ 20 กิโลเมตร แถวๆ เมือง Badrud ยังสามารถได้ยินแบบถนัดชัดเจน และมีประจักษ์พยานที่ได้เห็น “แสงไฟ” สว่างวาบเป็นเส้นๆ สายๆ เหนือน่านฟ้าเมือง Natanz อันเป็นที่ตั้งของโรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์อิหร่าน หรือเป็นโรงงานหลักที่มีเครื่องเหวี่ยง เครื่องแยกสาร ในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมจำนวนถึง 19,000 เครื่องเป็นอย่างน้อย จนถือเป็น “เป้าหมาย” ในการโจมตี ล้างผลาญ ทำลายของผู้ซึ่งไม่ต้องการเห็นอิหร่านมีโอกาสครอบครองอาวุธนิวเคลียร์โดยเด็ดขาดมาโดยตลอด โดยเฉพาะคุณทวดอิสราเอลนั่นเอง...
แต่การตูมๆ ตามๆ และการเกิดแสงสว่างวูบๆ วาบๆ เหนือท้องฟ้าเมือง Natanz ในคราวนี้...ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นเพราะสาเหตุ หรือเหตุปัจจัยอะไรกันแน่!!! จะเป็นความพยายาม “ก่อวินาศกรรม” เป็นครั้งที่ 3 ของอิสราเอลต่อโรงงานแห่งนี้ ถ้านับจากช่วงปี ค.ศ. 2020 เป็นต้นมา หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด เพราะก่อนหน้านั้น...ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี ค.ศ. 2020 และเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2021 การโจมตี เล่นงาน โรงงานดังกล่าวด้วยกรรมวิธีต่างๆ ตั้งแต่วางระเบิด ก่อกวนด้วยสงครามไซเบอร์ ไปจนถึงทำลายแห่งพลังงานและเครื่องเหวี่ยงแยกสารยูเรเนียม โดยบรรดา “ผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม” แต่ประสงค์ร้ายอยู่แล้วแน่ๆ ได้ส่งผลให้กระบวนการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่านต้อง “ช้า” ลงไปมิใช่น้อย นั่นยังไม่รวมถึงกรรมวิธีในการบุกสังหาร “นักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์” ของอิหร่านแบบชนิดดื้อๆ ทื่อๆ...
แม้ว่าการโจมตีในแต่ละครั้ง แต่ละครา ฝ่ายอิหร่านพยายามปิดข่าวให้เงียบๆ เข้าไว้ เพื่อไม่ให้รู้ถึงผลความเสียหายในระดับต่างๆ ได้โดยชัดเจน แต่ก็พร้อมที่จะแก้แค้น-เอาคืน ในระดับ “เสือล้างสิงห์-เจอลิงล้างก้น” มาโดยตลอด ดังนั้น...แม้ว่าโฆษกกองทัพอิหร่าน อย่าง “นายShain Taqikhani” จะออกมาให้ข่าวเอาไว้ทำนองว่า เสียงตูมๆ ตามๆ และแสงไฟวูบๆ วาบๆ เหนือท้องฟ้าเมือง Natanz นั้นคือการ “ทดสอบระบบป้องกันภัยทางอากาศ” ของอิหร่านเอง โดยที่โรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์หรือเครื่องแยกสารยูเรเนียม 235 ของอิหร่าน ยังคงอยู่ดี-มีสุข ไม่ได้ประสบความเสียหายใดๆ แม้แต่น้อย รวมทั้งผู้ที่ไม่คิดประสงค์จะออกนาม แต่ประสงค์ร้ายต่ออิหร่านอยู่แล้วแน่ๆ อย่างคุณทวดอิสราเอล ก็ไม่ได้ออกมาพูดจา ว่ากล่าวใดๆ ในเรื่องนี้ แม้จะมีประจักษ์พยานบางราย อ้างว่า...ได้เห็นเครื่องบินไร้คนขับ หรือ “UAV” ไม่ปรากฏสัญชาติ ถูกสอยร่วงห่างจากโรงงาน Natanz ไปประมาณ 20 กิโลเมตรก็ตามที...
สรุปเอาเป็นว่า...แม้ว่ารายการตูมๆ ตามๆ ในคราวนี้ จะยังไม่ถึงกับมีข้อสรุปที่ชัดเจน ว่าถือเป็นการเปิดฉากโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน ในช่วงการเจรจาเพื่อหวนกลับไปสู่ข้อตกลง “JCPOA” รอบที่ 7 ระหว่างคุณพ่ออเมริกากับอิหร่าน หรือไม่? อย่างไร? แต่ในแง่ของการแสดงออกโดยคำพูด คำจา ของบรรดาผู้นำอิสราเอล ที่มีต่อการประชุมคราวนี้ และต่อท่าทีของรัฐบาลอเมริกันโดยตรง ออกจะ “ห้าว” และออกจะ “กร้าว” เอามากๆ ไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ และผู้บัญชาการทหารในระดับต่างๆ ฯลฯ...
อย่างเช่น การออกมาตอกย้ำของประธานาธิบดีอิสราเอล “นายIsaac Herzog” คราวล่าสุด หรือเมื่อวันอาทิตย์ (5 ธ.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ว่าแม้ว่าอิสราเอลพร้อมที่จะยินดีต้อนรับต่อบทสรุปแห่งความพยายามทางการทูตของคุณพ่ออเมริกา ในการลดภัยคุกคามจากอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยถาวร แต่ถ้าหากความพยายามดังกล่าวนำไปสู่ “ความล้มเหลว” ในการบรรลุจุดมุ่งหมายที่ต้องการ อิสราเอลย่อมต้องตัดสินใจใช้ทางเลือกอื่นๆ ในทุกๆ แนวทางที่วางไว้แล้วบนโต๊ะ โดยเฉพาะการเล่นงานโจมตีประเทศอิหร่าน ด้วยกองทัพอิสราเอลโดยลำพัง หรือโดยไม่จำเป็นต้องรอ “ไฟเขียว” จากคุณพ่ออเมริกาหรือประชาคมโลกใดๆ เลย...
เช่นเดียวกับนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายNaftali Bennett” ที่ได้ออกมาแถลงข่าวหรือพูดไว้ในวันเดียวกัน ด้วยการส่งสาสน์ไปถึงรัฐบาลอเมริกันโดยตรง ว่า...ถึงเวลาแล้ว!!! ที่รัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ควรต้องเลิกใช้ “ชุดเครื่องมือ” ชนิดเดิมๆ ต่อการระงับยับยั้งความพยายามเสริมสมรรถนะยูเรเนียมของอิหร่าน ต้องหาทางสร้างมาตรการที่แข็งแกร่งและชัดเจน เอาไว้ควบคุมความเคลื่อนไหวของอิหร่านในกรณีดังกล่าว แม้ไม่ใช่มาตรการทางการทูต หรือเป็นมาตรการในทางทหารก็ตามที ดังนั้น...การออกหัว ออกก้อย ออกหมู่ ออกจ่า ในการเจรจาระหว่างอิหร่านกับอเมริกาและบรรดาประเทศที่ร่วมอยู่ในข้อตกลง “JCPOA” คราวนี้ จึงอาจถือเป็นตัวชี้ขาดในขั้นตอนสุดท้าย ว่าการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาในแนวรบตะวันออกกลาง จะเป็นไปได้หรือไม่? อย่างไร? นับจากนี้เป็นต้นไป!!!
และก็แน่ล่ะว่า...เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ไฟนรกสุดขอบฟ้าถูกจุดขึ้นมา ณ แนวรบหนึ่ง แนวรบใด โอกาสที่มันจะลุกลามบานปลายไปสู่แนวรบอื่นๆ ไม่ว่ายุโรปตะวันออก หรือทะเลจีนใต้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ภายใต้บรรยากาศของโลกที่เต็มไปด้วยการแบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แบ่งข้างและเลือกข้างไว้แล้วอย่างค่อนข้างชัดเจน และนั่นย่อมหมายถึง “สงครามระดับโลก” ที่ยากส์ส์ส์จะปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งในตลอดช่วงสงครามระดับโลกเท่าที่ผ่านมา ไม่ว่าครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 2 ผู้ที่เริ่มต้นจุดไฟนรกเหล่านี้ขึ้นมา ก็ใช่ว่าจะเป็นคุณพ่ออเมริกาซะที่ไหน??? แต่ก็ด้วยการอาศัยความขัดแย้งระหว่างใครต่อใครเป็น “เครื่องมือ” นั่นเอง สุดท้าย...จักรวรรดิอเมริกาก็กลายเป็นผู้ถือหาง “ฝ่ายชนะ” ซะทุกทีไป และทำให้โลกนับจากนั้น ต้องกลายเป็นโลกของอเมริกา เป็นศตวรรษอเมริกา เป็น “มหาอำนาจขั้วเดียว” ที่มิอาจปล่อยให้ใครก็ตามสามารถผงาดขึ้นมาแข่งขันและท้าทายใดๆ ได้เลยแม้แต่น้อย โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “สงคราม” นี่แหละเป็นทางออก ทางรอดจากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าอยู่ภายในประเทศในแต่ละช่วง แต่ละระยะ เท่าที่ผ่านมา...