xs
xsm
sm
md
lg

อิสราเอลกับการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


นาฟตาลี เบนเนตต์ นายกรัฐมนตรีอิสราเอล
ถ้าลองชั่งน้ำหนักกันแบบปอนด์ต่อปอนด์แล้ว...ไม่ว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก” หรือ “แนวรบทะเลจีนใต้” ที่ได้พยายามไล่เรียงเอาไว้ตั้งแต่ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา น่าจะเป็นอะไรที่ “น่ากลัว” หรือ “น่าอันตราย” น้อยซะยิ่งกว่า “แนวรบตะวันออกกลาง” ณ ช่วงระหว่างนี้ไม่รู้จะกี่เท่าตัว โดยเฉพาะเมื่อมองไปถึงอากัปกิริยา ท่าทีของ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณปู่ “อิสราเอล” ที่นับจากเริ่มปักหลักอยู่ในภูมิภาคแห่งนี้ สิ่งที่เรียกขานกันในนาม “สันติภาพ” ก็แทบหาไม่เจอมาตั้งแต่บัดนั้น!!!

โดยเฉพาะในช่วงหลังๆ นี้...ที่คุณปู่อิสราเอล ท่านค่อนข้างแสดงออกถึงความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ความรู้สึกไม่สมมาดปรารถนาในสิ่งที่เรียกร้อง ต้องการ ต่อรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ หรือยุค “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” อย่างเห็นได้ค่อนข้างชัดเจน ที่ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ผู้ซึ่งบรรดาลูกหลานชาวยิวทั้งหลาย ต่างยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่าถือเป็นมิตรแท้ มิตรถาวร ถึงขั้นต้องเอาใบหน้าอดีตประธานาธิบดีรายนี้ ไปวางเคียงคู่กับอดีตกษัตริย์เปอร์เซีย อย่าง “พระเจ้าไซรัสมหาราช” ผู้พร้อมปลดปล่อยเชลยชาวยิว ให้กลับมาสร้างชาติ สร้างบ้านเมือง และสร้างวิหารแห่งพระเจ้าครั้งที่ 2 เอาเลยถึงขั้นนั้น...

คือแม้ว่ารัฐบาลอเมริกันไม่ว่าจะโดยพรรครีพับลิกัน หรือเดโมแครต ต่างล้วนแล้วแต่เป็น “น้ำดำ” เป็นเป๊ปซี่ เป็นโคลา หรือต่างหนีไม่พ้นต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจและอิทธิพลของบรรดานักธุรกิจชาวยิว หรือ “อเมริกันเชื้อสายยิว” มาโดยตลอด แม้แต่การแสดงความยอมรับนับถือ ด้วยคำพูด คำจาต่อประเทศอิสราเอล ในฐานะ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของอเมริกา ก็มีที่มาจากอดีตประธานาธิบดี “บารัค โอบามา” ลูกพี่เก่าของ “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” นั่นเอง แต่สิ่งที่เดโมแครตอาจผิดแผกแตกต่างไปจากรีพับลิกันอยู่บ้าง ก็น่าจะเป็นความพยายามที่หวังสร้างความเป็นอิสระ ความเป็นตัวของตัวเอง ให้ไม่ถึงกับต้องถูกนักธุรกิจชาวยิว หรือบรรดาพวก “Deep State” ทั้งหลาย สั่งหันซ้าย-หันขวา มากมายเกินไปนัก หรือความพยายามที่จะควบคุมรัฐบาลอิสราเอล ไม่ให้ทำอะไรที่นอกเหนือไปจากคำสั่ง คำชี้แนะ ชี้นำ ของอเมริกามากมายจนเกินไป...

ไม่ว่าการหันไป “คบกับจีน” ไปเซ็งลี้ฮ้อกับพญามังกร จนรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นายแอนโทนี บลิงเคน” (Antony Blinken) ต้องหยิบยกมาเป็นหัวข้อ เป็นประเด็นในการเจรจากับรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล “นายยาอีร์ ลาปิด” (Yair Lapid) ในระหว่างการพบปะเมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หรือการสั่งห้าม การขอให้ “แขวน” โครงการก่อสร้างอาณานิคมชาวยิว ในดินแดนปาเลสไตน์ แถวๆ “Beit El” ในเขตเวสต์แบงก์ ขณะการเจอหน้า เจอตา ระหว่างนายกรัฐมนตรีอิสราเอล “นายนาฟตาลี เบนเนตต์” (Naftali Bennett) กับประธานาธิบดีอเมริกันเป็นครั้งแรก ไปจนถึงขั้นหวนกลับไปเปิดสถานกงสุลปาเลสไตน์ขึ้นมาใหม่ ณ กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อหวังไม่ให้บรรดาชาวอาหรับทั้งหลายเพิ่มความเกลียด ความชัง ต่อประเทศอเมริกามากมายเกินไปกว่านี้ ฯลฯ ที่ถ้าหากว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักจัดรายการวิทยุชื่อดังของอิสราเอล อย่าง “นายเจย์ ชาปิโร” (Jay Shapiro) ถึงกับถือเป็นความพยายามของรัฐบาลอเมริกันที่หวังจะอาศัย “ประเทศปาเลสไตน์” ถ่วงดุลกับ “ประเทศอิสราเอล” ตามแนวคิดของพวก “ปีกซ้าย” ในพรรคเดโมแครต ที่ให้การสนับสนุนต่อนโยบาย “2 รัฐเอกราช” ในตะวันออกกลาง อันเป็นการกระทำที่ไม่อาจถือเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนตาย ของชาวอิสราเอลได้เลย ต่างไปจากรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ที่เคยแสดงให้เห็นมาก่อนหน้านี้...

และที่สำคัญเอามากๆ...ก็คือการหวนกลับไปเจ๊าะแจ๊ะเจรจากับ “ศัตรูคู่กัด” ของอิสราเอลอย่างอิหร่าน ในเรื่องข้อตกลงนิวเคลียร์ หรือ “JCPOA” ที่จะเริ่มขึ้นใหม่ในวันที่ 29 พ.ย.ที่กรุงเจนีวา โดยยังไม่อาจหาข้อสรุปใดๆ ได้เลยว่า จะออกมาในหน้าไหนต่อหน้าไหน จะก่อให้เกิดผลเสีย-ผลได้ต่อพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลในรูปหนึ่ง รูปใด อันเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของอิสราเอล ผู้ไม่ประสงค์จะออกนามแต่ประสงค์จะออกความเห็น ให้สัมภาษณ์ทีวีช่อง 12 ของอิสราเอล เมื่อช่วงวันศุกร์ (12 พ.ย.) ที่ผ่านมา ว่าถือเป็น “ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง” ของรัฐบาลอเมริกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้นี่เอง ที่ทำให้รัฐบาลอิสราเอลของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คงต้อง “ทำอะไรสักอย่าง!!!” และอาจเป็นส่วนหนึ่งของเหตุผลที่ทำให้ “นายนาฟตาลี เบนเนตต์” ต้องออกมา “เตือนโลก” หรือต้องออกมาป่าวประกาศต่อบรรดาสื่อมวลชน ณ สโมสรผู้สื่อข่าวคริสเตียน เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (11 พ.ย.) ที่ผ่านมา ถึงภัยคุกคามที่อาจนำพาโลกทั้งโลกดำดิ่งลงไปสู่หุบเหว อันเนื่องมาจาก “ความรุนแรงแห่งกองกำลังทหารอิสลาม” หรือจากประเทศที่หวังจะลบประเทศอิสราเอลออกจากแผนที่โลกอย่างอิหร่านนั่นเอง!!!

แต่ก็คงไม่ใช่เฉพาะผู้นำอิสราเอล อย่างนายกรัฐมนตรี “เบนเนตต์” เท่านั้น ก่อนหน้านั้น...ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรีกลาโหมแห่งพรรคฟ้า-ขาว “พลเอกเบนนี แกนตซ์” (Benny Gantz) ก็ได้ออกส่งสัญญาณทำนองนี้ ด้วยการปลุกโลก กระตุ้นโลก ให้หันมาจัดการกับอิหร่านที่กำลังพยายามยกระดับสมรรถนะนิวเคลียร์ จนอาจผลิตหัวรบนิวเคลียร์ได้ในอีกไม่กี่เดือนนับจากนี้ ด้วยกรรมวิธีต่างๆ ในทุกๆ กรรมวิธี ไม่งั้น...ลูกหลานชาวยิวอาจตัดสินใจเอาเองไปตามสภาพ!!! หรือรัฐมนตรีต่างประเทศแห่งกลุ่มกลางซ้าย (Yesh Atid) อย่าง “นายยาอีร์ ลาปิด” ที่ได้ออกมากล่าวย้ำเอาไว้เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ประมาณว่า “อิสราเอลขอสงวนสิทธิ์ในการลงมือปฏิบัติการในทุกช่วงขณะ และทุกๆ วิธีการ ต่อการพัฒนานิวเคลียร์ของอิหร่าน” นี่...แม้เป็นคำพูดเรียบๆ ทื่อๆ แต่ฟังแล้ว...อาจถึงขั้นขนหัวลุกเอาง่ายๆ...

เพราะในช่วงระหว่างนี้...การเปิดฉากปฏิบัติการเล่นงานกองกำลังอิหร่านในประเทศซีเรีย ที่ถูกขนานนามโดยชาวอิสราเอลว่า “War-Between-Wars” หรือ “MAMBAM” นั้น ไม่เพียงแต่ส่งผลให้เกิดการยิงจรวดถล่มซีเรียถึง 7 ครั้งซ้อนๆ ในช่วงระยะเวลาเดือนเดียวเท่านั้นเอง ยังถูกอธิบายขยายความว่าพร้อมจะนำเอาแผนการและบทเรียนจากปฏิบัติการเหล่านี้ไปใช้กับ “โรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน” ได้ทุกเมื่อ แม้ว่าบรรดาชาวอิสราเอลจำนวนไม่น้อย ยังออกจะห่วง จะกังวล ต่ออิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช ของศัตรูคู่กัดอย่างอิหร่าน ที่มี “บ้องข้าวหลามยักษ์” เก็บเอาไว้เต็มคลังนับเป็นแสนๆ ลูก มีเครื่องบินโดรน และอะไรต่อมิอะไรต่างๆ ที่อาจทำให้สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่การ “โจมตี” แต่เป็นการ “ตอบโต้” ซะมากกว่า แต่ก็เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี้นี่เอง รัฐบาลอิสราเอลและบริษัทผลิตอาวุธ อย่าง “Israel Aerospace Industries” หรือ “IAI” ก็ได้ออกมาเปิดตัว ระบบป้องกันภัยทางอากาศชนิดใหม่ ที่เรียกกันว่า “Scorpius System” ที่สามารถรวมคลื่นและกระจายคลื่นอิเล็กทรอนิกส์ เข้าไปก่อกวน สกัดกั้น ระบบอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นเรดาร์ เซ็นเซอร์ อุปกรณ์นำร่อง คลังข้อมูลข่าวสาร ฯลฯ หรือสามารถทำให้จรวด เครื่องบินโดรน หรือขีปนาวุธใดๆ ก็แล้วแต่ของฝ่ายตรงข้าม ง่อยเปลี้ยเสียขา ตั้งแต่แรก...

จริง-ไม่จริง สมรักษ์-ไม่สมรักษ์ (โม้-ไม่โม้) ก็ยังมิอาจพิสูจน์ได้...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ความจำเป็นที่จะต้อง “ทำอะไรสักอย่าง!!!” ของรัฐบาลอิสราเอลต่อท่าทีที่เปลี่ยนไปของรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ เพื่อให้กลับมาเป็นเพื่อนแท้ เพื่อนตาย เป็นพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของลูกหลานชาวยิวเหมือนเดิม อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจโป๊ะโชะ โป๊ะเชะ อะไรต่อมิอะไรขึ้นมาได้เสมอๆ ด้วยเหตุนี้นี่เอง เลยคงต้องจับตาอย่างมิอาจกะพริบตาในทุกๆ แนวรบนั่นแหละทั่น อันเนื่องมาจากโดยสีสัน บรรยากาศ โดยการแยกข้าง แยกฝ่าย แบบชนิดแทบไม่เหลือช่อง เหลือรู ให้พอเชื่อมประสานกันมั่งเลย จึงทำให้ “สงครามเย็นยุคใหม่” ทุกวันนี้ อาจกลายสภาพเป็น “สงครามร้อน” หรือ “สงครามเลือด” ได้ทุกเมื่อ!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น