เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องหวนกลับไปดูฉากสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด กันอีกรอบนั่นแหละทั่น!!! ที่นอกจากเชื้อไวรัสตัวนี้ท่านยังไม่ได้คิดจะหัวตก ไม่คิดเหี่ยวปลายลงไปซักกะที แต่ยังออกฤทธิ์ ออกลาย ออกมุกใหม่ๆ อันทำให้เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา เล่นเอาใครต่อใครออกอาการ “หูแหก-ตาแหก”กันไปแทบจะทั่วโลกเอาเลยก็ว่าได้...
ส่วนจะแหกขนาดไหน...คงพอเห็นได้จากตลาดหุ้น “Dow Jones”ของอเมริกาเมื่อช่วงวันศุกร์ (26 พ.ย.) ที่ร่วงผลอยๆ ลงไปถึง 800 จุด หรือประมาณ 2.42 เปอร์เซ็นต์ “CAC” ของฝรั่งเศสตกจากหอคอย่นไม่น้อยไปกว่า 4 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ “Dax” ของเยอรมนีลดลงไป 3.1 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ ไม่ต่างไปจาก “ราคาน้ำมัน” ที่กำลังมาแรงแซงโค้งขึ้นพรวดๆ พราดๆ จะด้วยเหตุเพราะปริมาณความต้องการที่ชักจะสูงขึ้นๆ หรือเพราะคนกลัวโควิดน้อยลงหรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่พอเจอเข้ากับข่าวคราวการออกฤทธิ์ ออกเดช รอบใหม่-มุกใหม่ ของท่านเชื้อไวรัสโควิดเท่านั้นเอง ราคาน้ำมัน “Brent”เมื่อวันศุกร์ลดฮวบๆ ฮาบๆ จาก 82.24 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลงไปเหลือแค่ 73.81 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือลดลงไปถึง 10.25 เปอร์เซ็นต์ โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาไปชักชวนพวก “สิงห์รถบรรทุก”ออกมาสร้างแรงกด แรงดันใดๆ เอาเลยก็ว่าได้...
นั่นยังไม่รวมไปถึงบรรดา “สายการบิน”ต่างๆ...ที่ต่างต้องยกเลิกเที่ยวบินกันอุตลุด ชนิดถ้าว่ากันตามตัวเลขสถิติจาก “The International Consolidated Airlines Group”ข่าวคราวว่าด้วยเชื้อไวรัสตัวใหม่ ส่งผลให้เกิดความสูญเสียรายได้ต่อสายการบินดังๆ ระดับโลกอย่างชนิดถ้วนหน้า ถ้วนถึงกันไปแทบทั้งหมด ไม่ว่า “British Airways”หรือ “Iberia Airlines”ที่สูญเสียรายได้ไปไม่น้อยกว่า 14 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน “Lufthansa”10.72 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน ตัวเลขจำนวนการจองห้องพักของบรรดานักท่องเที่ยวในรูปไหนต่อรูปไหนก็แล้วแต่ ถ้าว่ากันตามรายงานของ “The InterContinental Hotels Group”ลดลงแบบฉับพลันทันทีถึง 5.92 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน โดยจะส่งผลต่อบรรดาโรงแรมภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์ กระบี่ แซนด์บ็อกซ์ หรือไทยแลนด์ แซนด์บ็อกซ์ ฯลฯ ของบ้านเรา ที่กำลังคิดจะเปิดบ้าน เปิดเมือง แบบอ้าซ่าหรือแบบแง้มๆ มาก-น้อยขนาดไหน อันนั้น...คงต้องคอยไปตรวจสอบกันดูอีกที...
คืออันที่จริง...แค่การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดตัวเดิม แบบเดิม หรือมุกเดิมๆ อย่างเชื้อไวรัสสายพันธุ์อัลฟา, เบตา, แกมมา และเดลตา ที่ยืดเยื้อเรื้อรังต่อเนื่องมาเกือบ 2 ปี ก็ออกจะน่าเกลียด น่ากลัว จนตราบเท่าทุกวันนี้ คือยังก่อให้เกิดการติดเชื้อ แพร่เชื้อ การ “ป่วยตาย” ที่ออกจะหนักหนา-สาหัสเอาเรื่อง หรือไม่ได้ลดน้อย-ถอยลงไปเลยแม้แต่น้อย ยุโรปทั้งยุโรปยังคงติดเชื้อมากถึง 2.5 ล้านราย เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 30,000 ราย ภายในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ก็ด้วยเหตุเพราะความกลัว “อดตาย” นั่นเอง หลายต่อหลายประเทศเลยต้องเริ่มหันมาผ่อนคลาย หันมาเปิดประเทศ เปิดบ้าน เปิดเมือง ไม่ต่างไปจากประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮานั่นแหละ แต่เมื่อดันต้องมาเจอกับข่าวคราวว่าด้วยการ “กลายพันธุ์”ในระดับ “Super Mutant”ของท่านเชื้อไวรัสโควิดครั้งล่าสุด ที่อาจหนักหนา-สาหัสกว่าเชื้อไวรัสตัวเดิมที่กลายพันธุ์มาแล้วหลายต่อหลายระลอกไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า โลกทั้งโลก...เลยต้องหันมาขนหัวลุก ขนคอตั้ง กันอีกครั้ง!!!
หรืออย่างที่นายกรัฐมนตรีเบลเยียม “นายAlexander De Croo”ได้ออกมาอรรถาธิบายไว้สั้นๆ เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า เชื้อไวรัสโควิดที่ชาวโลก หรือชาวเบลเยียม กำลังต้องเผชิญอยู่ ณ ขณะปัจจุบัน มันคงไม่ใช่เชื้อไวรัสตัวเดิมๆ ที่เคยแพร่ระบาดอยู่ในเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน เมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว หรือไม่ใช่ไวรัส “Covid-19”อีกต่อไปแล้ว แต่น่าจะเป็นไวรัส “Covid-21” ซะมากกว่า คือไวรัสโควิดที่กลายพันธุ์จากอัลฟา-เบตา-แกมมา-และเดลตา กลายมาเป็นไวรัสที่ถูกเรียกในช่วงแรกๆ ว่า “B.1.1.529”หรือถูกตั้งชื่อให้ใหม่โดย “WHO”เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมาว่า “โอไมครอน”(Omicron) นั่นเอง เป็นไวรัสโควิด ที่เกิดจากการวิวัฒนาการ หรือการ “กลายพันธุ์”อย่างชนิด “มากมาย”ที่สุดและ “อันตราย”ที่สุด เปลี่ยนแปลงสภาพตัวเองไปจากตัวเดิมถึง 50 ตำแหน่งเป็นอย่างน้อย โดยเฉพาะ 32 ตำแหน่งบริเวณส่วนหนาม หรือ “Spike Protein” อันทำให้สามารถหลบหลีก เล็ดรอด บรรดา “ภูมิคุ้มกัน”ต่างๆ ไม่ว่าโดย “ยา”หรือ “วัคซีน”ในแต่ละชนิด หรืออาจทำให้บรรดาผู้ที่ติดเชื้อไปแล้ว อาจต้องหวนกลับมาติดเชื้อครั้งใหม่ ผู้ที่ฉีดวัคซีนไปแล้วไม่รู้กี่เข็มต่อกี่เข็ม แม้ว่าแขนพรุนไปแล้วเท่าไหร่ แต่เผลอๆ...ยังอาจ “เอาไม่อยู่” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
นี่...อันนี้นี่แหละ ที่มันเลยทำให้ใครต่อใคร หรือประเทศแต่ละประเทศ ต้องออกอาการ “หูแหก-ตาแหก”รอบใหม่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ประเทศผู้ดีอังกฤษที่เพิ่งฉลองการลดการ์ด ผ่อนการ์ด ด้วยวัน “Freedom Days” ไปหมาดๆ ถึงกับออกอาการสะดุ้ง-ผงะกว่าใครเขาเพื่อน ต้องออกประกาศ “ห้าม” บรรดาผู้โดยสารจากประเทศที่คาดว่าเป็นต้นตอแห่งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวใหม่ตัวนี้ เข้าประเทศตัวเองเป็นการด่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้โดยสารจากประเทศบอตสวานา เลโซโท นาบิเมีย ซิมบับเว และเอสวาตินี หรือประเทศสวาซิแลนด์เดิม ฯลฯ เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับประเทศอิสราเอลที่กำลังคิดโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านหรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่นายกรัฐมนตรีรายใหม่อย่าง “นายนาฟทาลี เบนเนตต์” เลยต้องรีบหันกลับมารับมือกับเชื้อโควิด “โอไมครอน” เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ด้วยการออกประกาศห้ามผู้โดยสารจากบรรดาประเทศในแอฟริกาใต้เดินทางเข้าไปในอิสราเอลเช่นเดียวกับผู้ดีอังกฤษ โดยเพิ่มจำนวนผู้โดยสารจากประเทศมาลาวี ที่หอบเชื้อตัวนี้เข้าไปในประเทศอิสราเอล ควบคู่ไปด้วย...
เช่นเดียวกับเบลเยียม ที่เจอเชื้อโควิดสายพันธุ์ “โอไมครอน”จากผู้โดยสารที่เดินทางกลับมาจากประเทศอียิปต์ ก็เลยต้องออกประกาศห้ามผู้โดยสารที่เดินทางมาจากดินแดนแอฟริกาแทบทั้งมวล จากนั้น...ตามมาด้วยประเทศอเมริกา เดนมาร์กแคนาดา สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินเดีย ญี่ปุ่น ตุรกี สวิตเซอร์แลนด์ ยูเออี สเปน โมร็อกโก ฯลฯ จนลามไปถึงอียูทั้งอียู ที่ประธานผู้บริหารสหภาพยุโรป “นางUrsula von der Leyen”ต้องออกมาประกาศว่า อาจต้องเอาด้วยกันทั่วทั้งอียูนั่นแลหรือเกิดการหวนกลับมาปิดประเทศ ปิดบ้าน ปิดเมือง โดยเฉพาะสำหรับผู้โดยสาร ผู้ท่องเที่ยวเดินทางจากดินแดนแถวๆ แอฟริกาใต้ อันเป็นจุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดตัวใหม่ที่ประเทศบอตสวานาและที่จังหวัด “Gauteng” ของประเทศแอฟริกาใต้เป็นแห่งแรก โดยจะถือเป็นการ “สายไป”หรือไม่? อย่างไร? เพราะการระบาด การแพร่เชื้อเหล่านี้เป็นไปได้รวดเร็วซะยิ่งเชื้อเดิมๆ ถึง 3 เท่าเป็นอย่างน้อย ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ยังไงๆ คงต้อง “หูแหก-ตาแหก”เอาไว้ก่อน หลังจากพบจำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าวในประเทศต่างๆ ไม่น้อยกว่า 50 กรณี ไม่ว่าในแอฟริกาใต้ เบลเยียม บอตสวานา อิสราเอล และฮ่องกง ฯลฯ ฯลฯ เป็นต้น...
ว่ากันว่า...เหตุที่ทำให้เกิดการ “กลายพันธุ์”อย่างชนิดน่าเกลียด น่ากลัว ในดินแดนแถบๆ แอฟริกาใต้ ก็คงเนื่องมาจากสาเหตุที่บรรดาประเทศจนๆ หรือประเทศกำลังพัฒนาในดินแดนแอฟริกาทั้งหลาย แทบไม่ได้รับการ “ฉีดวัคซีน”ให้ทันเหตุทันการณ์ หรือให้พอเพียงกันมาตั้งแต่เริ่มแรก บางประเทศเพิ่งผ่านการฉีดวัคซีนเข็มแรกไปแค่ 6.6 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรภายในประเทศเท่านั้นเอง เนื่องจากบรรดาประเทศรวยๆ หรือประเทศพัฒนาทั้งหลาย ต่างหันไปเก็บกักวัคซีนเอาไว้ฉีด เอาไว้อาบ อีกทั้งราคาวัคซีนแต่ละประเทศก็ออกจะแพงแสนแพงมิใช่น้อย ส่งผลให้บรรดาบริษัทผลิตวัคซีนแต่ละบริษัทรวยเช็ด รวยไม่เสร็จ ฟันกำไรชนิดนับร้อยๆ ล้านเป็นนาทีต่อนาทีเอาเลยก็ว่าได้ แต่ก็อีกนั่นแหละ...เมื่อต้องเจอกับการ “กลายพันธุ์” ของเชื้อโควิดตัวใหม่ที่กำลังสร้างความหูแหก-ตาแหกให้กับใครต่อใครทั่วทั้งโลกขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่องค์กร “WHO” ขอเวลาอีกประมาณ 2-3 สัปดาห์ในการศึกษา ตรวจสอบ อานุภาพและอันตรายของเชื้อไวรัสดังกล่าว บริษัทผลิตวัคซีน อย่าง “Pfizer-BioNTech”ไปจน “Moderna” และ “Johnson & Johnson” ก็ได้ออกข่าวว่าขอเวลาอีกสักประมาณ 100 วัน ในการผลิต “วัคซีนตัวใหม่”ออกมาขายใครต่อใคร ให้ระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นไปอีก เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะน่าเกลียด น่ากลัว น่าทุเรศ ยิ่งกว่าไวรัสแต่ละตัว แต่ละชนิด เท่านี้ย่อมไม่มีอีกแล้ว!!!...