เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแวะกลับมาดูเรื่องโควิด-ไม่โควิด หรือสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 กันอีกนั่นแหละทั่น!!! เพราะออกจะเป็นอะไรที่น่าจะยัง “หนักหนา-สาหัส”อยู่เหมียนเดิมม์ม์ม์ แม้ว่าหลายต่อหลายประเทศจะเริ่มลดการ์ด การ์ดตก กันไปเป็นประเทศๆ รวมทั้งไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาด้วยเช่นกัน ที่ต้องตัดสินใจเปิดบ้าน เปิดประเทศ อ้าขา ผวาปีก เปิดรับนักท่องเที่ยว 40-50 ชาติ โดยไม่คิดจะ “คุมเข้ม”ใดๆ อีกต่อไปแล้ว...
คือระดับ “ติดเชื้อ” กันไปแล้วถึงเกือบ 250 ล้านคนทั่วทั้งโลก ตามข้อมูล ตัวเลข เมื่อช่วงวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา หรือประมาณ 249,311,330 ราย ต้องเรียกว่า “ไม่น้อย” เอาเลยทีเดียวเชียว แถมในจำนวนดังกล่าวต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปแล้วถึง 5,044,510 ราย พอๆ กับผู้ตายในสงครามระดับโลก หรือระดับภูมิภาค ที่น่าขนลุก ขนพอง น่าสยองขวัญมิใช่น้อยและด้วยแนวโน้มโดยทั่วไป ก็มิได้ทำท่าว่าจะลดราวาศอกลงไปเลยแม้แต่น้อย ผู้ครองตำแหน่ง “แชมป์โรค” อย่างคุณพ่ออเมริกา ก็ยังทำสถิตินำโด่ง จำนวนผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน ปาเข้าไปถึงวันละ 81,033 ราย ตามมาด้วยรัสเซีย 40,217 ราย ผู้ดีอังกฤษที่เพิ่งฉลองวัน “ฟรีดอม เดย์” ไปหมาดๆ ตามมาเป็นอันดับ 3 ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้อวันละ 37,269 ราย เยอรมนีเป็นอันดับ 4 โดยจำนวนผู้ติดเชื้อวันละ 35,662 ราย ฯลฯ ฯลฯ ทั้งที่บรรดาประเทศเหล่านี้ ต่างไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มวัคซีน ให้กับผู้คนพลเมืองภายในประเทศตัวเอง แบบจิ้มแล้ว จิ้มเล่า ทิ่มแล้ว ทิ่มเล่า กันในลักษณะไหน? อย่างไร? ก็ตาม...
อันนี้นี่แหละ...ที่มันทำให้น่าห่วง น่ากังวล เอามากๆ ยิ่งระดับผู้อำนวยการ “WHO”ประจำภาคพื้นยุโรป อย่าง “นายฮานส์ คลูก” หรือ “คลูจ” (Hans Kluge) ได้ออกมาฟันธงและฟันเฟิร์ม เอาไว้แบบมิดด้าม เต็มด้าม เมื่อช่วงวันศุกร์ (5 พ.ย.) ที่ผ่านมานี่เอง ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ หรือระลอกเท่าไหร่ก็แทบนับนิ้วไม่ไหว จะส่งผลให้ภายในอีก 3 เดือนข้างหน้า หรือภายในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า บรรดาชาวยุโรปที่จะต้องกลายเป็นเครื่องเซ่นสังเวย ต่อการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 500,000 ราย หรืออีกเกือบครึ่งล้านคนเป็นอย่างน้อย นี่...น่าวิตก น่าสลดหดหู่ ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด เอาเองก็แล้วกัน...
คือจะด้วยเหตุเพราะการไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มวัคซีน มันมี “ปัญหา” รายละเอียดในแบบไหน อย่างไร ก็ยังไม่ถึงกับชัดเจน ทั้งๆ ที่บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย ออกจะรวยแสนรวย ไม่ได้ “รวยแต่มะเขือ”เหมือนบรรดาประเทศโลกที่สาม หรือประเทศกำลังพัฒนาโดยทั่วไป โอกาสที่จะเก็บกักวัคซีนเอามาฉีด เอามาอาบ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงมากๆ อยู่แล้วแน่ๆ แต่จะเป็นเพราะ “ฉีดไม่ครบ”หรือ “ไม่ครอบคลุม” หรือกระทั่ง “ไม่ยอมฉีด”ฯลฯ หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่ การประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ในยุโรป มันจึงออกมาในแบบน่าเกลียด น่ากลัว มิใช่น้อย และยิ่งถ้าหากไปฟังรายงานการศึกษาของสถาบันต่างๆทางด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่ออกจะมีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ น่าศรัทธา ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าสถาบันด้านสุขสาธารณะ อย่าง “Public Health Institute”ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพมหาวิทยาลัยเท็กซัส (University of Texas Health Science Center) หรือศูนย์กิจการด้านสาธารณสุขของทหารผ่านศึก (The Veterans Affairs Medical Center) ที่ได้จับไม้-จับมือ ร่วมศึกษา ค้นคว้าและวิจัย ถึงบรรดาผู้ได้ฉีดวัคซีน ไม่ว่าระดับ 1 เข็ม 2 เข็มหรือกี่เข็มก็แล้วแต่ ยิ่งมีแต่ “หนาวว์ว์ว์” หนักขึ้นไปใหญ่...
คือจากการศึกษา ค้นคว้าและวิจัย ของสถาบันทั้ง 3 ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา จนถึงเดือนตุลาคมปีนี้ โดยสำรวจตรวจสอบจากจำนวนผู้ที่ฉีดวัคซีนระดับ“วัคซีนเทพ” ด้วยกันทั้งสิ้น หรือประเภท “Pfizer-BioNTech” “Moderna mRNA”ไปจนถึง “Janssen”จำนวนเกือบ 800,00 ราย หรือ 780,225 ราย ตลอดทั่วทั้งยุโรปและอเมริกา พบว่าขีดความสามารถในป้องกัน ดูแล การติดเชื้อ แพร่เชื้อ ของบรรดาผู้ที่ฉีดวัคซีนเหล่านี้ไปเรียบร้อยแล้ว มันกลับลดลงแบบฮวบๆ ฮาบๆ ในช่วงเวลาไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง หรือช่วงที่ฉีดครั้งแรกๆ มันเคยสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ถึงประมาณ 80 เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ผ่านไปแค่ 3-4 เดือน ระบบภูมิคุ้มกันเหล่านี้ มันกลับสาละวันเตี้ยลง...เตี้ยลง ลดเหลือเพียงแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เอาเลยก็มี อย่างผู้ฉีดวัคซีน “Moderna”ตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จากที่เคยก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันมากถึง 89.2 เปอร์เซ็นต์ แต่พอถึงเดือนกันยายนเท่านั้นเอง ภูมิคุ้มกันที่ว่า มันกลับลดลงเหลือเพียงแค่ 58 เปอร์เซ็นต์ หรือหายไปเกือบครึ่งต่อครึ่ง...
เช่นเดียวกับผู้ฉีด “Pfizer”ที่เคยก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันถึง 86.9 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจาก 3-4 เดือนผ่านมา ภูมิคุ้มกันดังกล่าวกลับลดลงเหลือแค่ 43 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้ฉีด “Janssen” จากที่เคยสร้างภูมิคุ้มกันถึง 86.4 เปอร์เซ็นต์ แวบเดียว วูบเดียวกลับลดลงมาเหลือแค่ 13 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ด้วยเหตุนี้นี่เอง...มันเลยยากส์ส์ส์ที่จะไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ให้เกิดประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ครอบคลุมไปในระยะยาวไกล เบ็ดเสร็จสมบูรณ์และสม่ำเสมอ มีแต่ต้องฉีดแล้ว ฉีดอีก ทิ่มแล้ว ทิ่มอีก ชนิด “พรุน” กันไปเป็นข้างๆ เป็นแขนๆ หรือไม่? อย่างไร? ก็ยังมิอาจสรุปได้ชัดเจน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันได้ส่งผลให้เกิด “อัตราเสี่ยง”ต่อการหวนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ต่อการไม่คิดจะสวมหน้ากาก ไม่คิดจะเว้นระยะห่าง และต่อการท่องเที่ยว-เดินทางโดยทั่วไป อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้!!!
แต่ก็นั่นแหละท่านเอ๋ยย์ย์ย์...ระหว่างการ “ป่วยตาย”กับการ “อดตาย”มันชักจะเป็นอะไรที่เลือกยาก เลือกลำบาก ยิ่งเข้าไปทุกที ความจำเป็นทาง “เศรษฐกิจ”ที่กำลังกลายเป็นตัวบีบบังคับ ให้รัฐบาลในแต่ละประเทศจำต้องหันมาเปิดประเทศ เปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดโอกาสให้ผู้คนหวนมาใช้ชีวิตอย่างเป็นปกติ ทำให้แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่มีรายได้หลักของประเทศจากการใช้-จ่ายโดยบรรดา “นักท่องเที่ยว” ทั้งหลาย ถึงระดับ 16 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพีเอาเลยก็ว่าได้ และส่วนใหญ่ก็คือนักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินั่นแหละเป็นหลัก หรือประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ของตัวเลขจีดีพี เฉพาะ “ไทยเที่ยวไทย”แค่ 6 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้นเอง การเปิดบ้าน เปิดเมือง แบบค่อนข้างจะอ้าซ่า ให้บรรดานักท่องเที่ยวต่างชาติถึง 46 ประเทศ สามารถเข้า-นอก-ออก-ใน กันได้โดยสะดวก มันจะนำไปสู่อะไร? แบบไหน? อย่างไร? ก็คงต้องไป “วัดดวงกันเอาเอง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...
และอาจด้วยเหตุเพราะแต่ละประเทศ ต้องพยายามหาช่อง หาทาง ให้ผู้คน พลเมือง ภายในประเทศตัวเอง หวนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติให้โดยเร็วที่สุดนี่เอง มันเลยส่งผลให้ “Demand” หรือ “ความต้องการ”ที่จะบริโภค “พลังงาน” เลยต้องพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ ตามไปด้วยอย่างมิอาจปฏิเสธได้ ชนิดจากระดับราคา 30-40 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อช่วงต้นปี พุ่งขึ้นไปถึง 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลทุกวันนี้ หรือเพิ่มขึ้นไปถึง 64 เปอร์เซ็นต์ และถ้าว่ากันตามการคาดการณ์ของ “BofA”หรือ “Bank of America”จากที่เคยสรุปไว้ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่า “ราคาน้ำมัน” จะขึ้นไปถึง 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลภายในอีก 6 เดือนข้างหน้า มาถึง ณ วันนี้ หรือรายงานการประเมินครั้งสุด ถึงกับฟันธงและฟันเฟิร์มไปเลยว่า ภายในปลายเดือนมิถุนายนปีหน้า ราคาน้ำมันจะพุ่งขึ้นไปถึง 120 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...อะไรก็ตามที่มันต้องเกี่ยวข้องกับการขนส่ง ลำเลียง โดยอาศัยยานพาหนะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าว-ปลา-อาหาร ราคาสินค้าอุปโภค บริโภคแทบทุกชนิด มันเลยต้องพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ชนิดที่ดัชนีราคาขององค์การอาหารและสินค้าเกษตรสหประชาชาติ หรือ “FAO Food Price Index”ต้องออกมาสรุปตัวเลข สถิติ เอาไว้เมื่อช่วงวัน-สองวันนี้ว่า “ราคาอาหารโลก” ได้ถีบตัวพุ่งขึ้นไปกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หรือนับจากเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2011 เป็นต้นมา และนั่นอาจส่งผลให้ “ภาวะเงินเฟ้อ” มีสิทธิ์แผ่ซ่าน ครอบคลุม ไปทั่วทั้งโลก ชนิดไม่ว่า “ป่วยตาย”หรือ “อดตาย” ต่างก็มีแต่ “เสี่ยง...กับ...เสี่ยง”ไปด้วยกันทั้งสิ้น เฮ้ออ์อ์อ์...อะไรมันจะน่าห่วง น่ากังวล เท่านี้ ย่อมไม่มีอีกแว้วว์ว์ว์....