ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงไม่ไหวจะเบา!!! หรือไม่รู้จะไปหาเรื่อง “เบาๆ” ที่ไหนมาว่ากันดี เพราะโดยหลักๆ ดูๆ มันจะออกไปทาง “หนักๆ” ไปด้วยกันทั้งนั้น โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์หน้า หรือช่วงวันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน อันเป็นช่วงจังหวะ เวลา ที่ตัวแทนรัฐบาลอเมริกันของ “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ได้ฤกษ์ ได้เวลา ที่จะเปิดฉากเจ๊าะแจ๊ะเจรจารอบใหม่ กับตัวแทนรัฐบาลอิหร่าน ในเรื่องความเป็นไปได้-เป็นไปไม่ได้ในการการหวนกลับไปสู่ “ข้อตกลงนิวเคลียร์” หรือ “JCPOA” ของอเมริกาอีกครั้งที่กรุงเวียนนา หลังจากรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” ได้สะบัดตูด ลุกหนี ไปเมื่อไม่กี่ปีที่แล้ว...
โดยคงต้องยอมรับว่า...ผู้ที่จับตา มองเขม้น ไปยังการเจรจาครั้งนี้ อย่างชนิดมิคิดจะกะพริบตาเอาเลยแม้แต่นิด ก็คงหนีไม่พ้นไปจากคุณทวดอิสราเอล “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกาเขานั่นเอง!!! ที่ก็ยังไม่อาจคาดเดา หรือทำนายได้ว่า ผลแห่งการเจรจามันจะออกมาในรูปไหนต่อรูปไหน เป็นบวก-เป็นลบ ต่อเสถียรภาพความมั่นคงของอิสราเอลในลักษณะใดต่อลักษณะใด ทั้งๆ ที่อดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนก่อน “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” เคยประสบความสำเร็จในการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว ให้อดีตประธานาธิบดีอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” ถอนตัวจากข้อตกลงดังกล่าว แล้วหันมาเล่นงานศัตรูคู่กัดของอิสราเอลอย่างอิหร่าน ชนิดกรอบเป็นข้าวเกรียบเมืองเพชร ด้วยมาตรการ “แซงชั่น” ที่หนักหน่วงรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่พอมาถึงยุคของ “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทำท่าว่าจะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังตีน หรือหลังตีนเป็นหน้ามือ ก็แล้วแต่จะไปคิดๆ กันเอาเอง...
คือแม้ว่าเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว...รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) จะไปพูด นั่งยัน นอนยัน ณ สถาบัน “The International Institute for Strategic Studies” ในประเทศบาห์เรน ว่ายังไงๆ รัฐบาลอเมริกันคงต้องหาทางป้องกัน ขัดขวาง มิให้ประเทศพี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างอิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมืออยู่แล้วแน่ แต่โดยคำพูดระหว่างบรรทัดที่ออกมาในแนว... “อเมริกายังคงยืนยันในความร่วมมือที่จะป้องกันไม่ให้อิหร่านประสบความสำเร็จในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์โดยเด็ดขาด แต่เราก็ยังคงยืนยันที่จะอาศัยกรรมวิธีทางการทูตเป็นอันดับแรก โดยถ้าอิหร่านไม่คิดจะให้ความร่วมมืออย่างจริงๆ จังๆ อันนั้นนั่นแหละ...ที่เราจะต้องมองหาทางเลือกอื่นๆ เท่าที่จำเป็น ในการสร้างเสถียรภาพความมั่นคงให้กับอเมริกาและภูมิภาคตะวันออกกลาง...”
โดยคำพูด “ระหว่างบรรทัด” ที่ออกไปในแนวนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาลูกหลานชาวยิวในอิสราเอลโดยส่วนใหญ่ ต่างถือเป็น “ความผิดพลาดอย่างร้ายแรง” ของรัฐบาลอเมริกันยุคปัจจุบัน ที่แม้จะถือเป็น “พันธมิตรที่ดีที่สุดของอิสราเอล” ตามคำพูด คำจา ของนายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนใหม่ “นายนาฟตาลี เบนเนตต์” (Naftali Bennett) ก็ตามที เพราะในทัศนะความคิดความเห็นของนายกรัฐมนตรีรายนี้ ได้สรุปเอาไว้ชัดเจน ขณะแสดงปาฐกถาครั้งสำคัญในเรื่องนโยบายอิสราเอลต่ออิหร่าน ณ มหาวิทยาลัย “Reichman University” ที่เมือง “Herzliya” เมื่อช่วงวันอังคาร (23 พ.ย.) ที่ผ่านมา ว่าการหวนกลับไปสู่การเจรจาข้อตกลง “JCPOA” กับอิหร่านอีกครั้ง ไม่ต่างอะไรไปจาก “การกินยานอนหลับ” ทำนองนั้น แต่ในเมื่อรัฐบาลอเมริกันของ “ผู้เฒ่าโจ” ต้องการที่จะให้เป็นไปเช่นนั้น ภายใต้สถานการณ์ที่ยุ่งยากลำบากและซับซ้อนเช่นนี้ หรือสถานการณ์ที่ “เราอาจต้องกระทบกระทั่งกับพันธมิตรที่ดีที่สุดของเรา” ผู้นำอิสราเอลรายนี้จึงต้องออกมาย้ำเอาไว้แบบชัดเจน แจ่มแจ้ง ประมาณว่า...การเจรจาระหว่างอเมริกาและอิหร่านคราวนี้ ต้องถือเป็น “เรื่องของ...มึง” อะไรประมาณนั้น หรือไม่ได้ก่อให้เกิดข้อผูกมัด ผูกพันใดๆ ต่ออิสราเอล ซึ่งยังคงมีอิสระเสรีที่จะหาทางเล่นงานหรือปฏิบัติการใดๆ ต่ออิหร่านได้ทุกเมื่อ นับจากนี้...หรือจากวินาทีนี้ เป็นต้นไป!!!
เรียกว่า...แม้ว่าช่วงวันจันทร์ (22 พ.ย.) ที่ผ่านมา สื่อมวลชนอเมริกันอย่าง “The New York Times” จะออกมาพาดหัวข่าวไว้ซะใหญ่โต อ้างคำพูดของเจ้าหน้าที่ระดับสูงอเมริกันประมาณว่า “รัฐบาลไบเดนกดดันอิสราเอลไม่ให้บ่อนทำลายการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน” ในช่วงนี้ หรือ “เรียกร้องให้ระงับยับยั้งการกระทำการใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการเจรจา ณ กรุงเวียนนา” แต่นั่นกลับดูจะยิ่งก่อให้เกิดแรงอัดฉีด แรงกระตุ้น ต่อบรรดาลูกหลานชาวยิวทั้งหลายโดยเฉพาะอดีตนายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนเก่า “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ที่ปัจจุบันได้แปรสภาพตัวเองเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ที่ถึงกับต้องออกมาระบายอารมณ์ ความรู้สึกเอาไว้ประมาณว่า... “มือของเราชาวอิสราเอลกำลังถูกมัดเอาไว้ ด้วยการเจรจาระหว่างอเมริกาและอิหร่าน ทั้งๆ ที่อิหร่านทุกวันนี้...ยังคงมุ่งพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้น...เราจึงไม่ต้องการที่จะให้นิวยอร์ก ไทมส์ ออกมาพูดกับเราเช่นนี้...” หลังจากนั้นก็ได้หันไปโจมตีรัฐบาลอิสราเอลปัจจุบัน ว่าออกไปทางขิงอ่อน ออกไปทางมะเขือเผา อะไรทำนองนั้น...
ภายใต้บรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...เลยทำให้นับจากวันที่ 29 พ.ย. หรือนับจากการเริ่มต้นเจรจารอบใหม่ระหว่างอเมริกาและอิหร่าน เป็นต้นไป ไม่ว่าใครก็ใคร...ย่อมมิอาจ “กะพริบตา” ได้โดยเด็ดขาด!!! โดยเฉพาะเมื่อผู้นำอิสราเอลคนปัจจุบันได้ออกมาบอกกล่าวเอาไว้ล่วงหน้าประมาณว่า... “เราหวังว่าโลกจะไม่หลับตา เมินเฉย ต่อกรณีดังกล่าว แต่แม้นว่าโลกจะเป็นไปเช่นนั้น อิสราเอลก็คงไม่คิดจะกะพริบตาเป็นอันขาด” การเตรียมพร้อมขั้นสูงสุดของกองทัพอิสราเอล การทดสอบปฏิบัติการทางทหาร แบบที่เรียกๆ กันว่า “MAMBAM” หรือ “War-between-Wars” ด้วยการส่งเครื่องบินเข้าไปยิงจรวดถล่มดินแดนซีเรีย คราวแล้ว คราวเล่า เพื่อเล่นงานกองกำลังอิหร่านและกองกำลัง “ตัวแทน” ที่กำลัง “ล้อมกรอบอิสราเอลเอาไว้ในทุกๆ ด้าน” ล่าสุด...เมื่อวันวาน ก็เพิ่งตามเข้าไปถล่มกันอีกระลอก ไปจนถึงการเปิดตัวระบบป้องกันภัยทางอากาศชนิดใหม่ หรือ “ระบบใยแมงมุม” (Scorpius System) ที่สามารถยิงคลื่นอิเล็กทรอนิกส์เข้าไปรบกวน ทำลาย เล่นงานจรวด เรดาร์ การตอบโต้ด้วยเครื่องบินโดรน ของฝ่ายตรงกันข้าม ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ออกจะน่าขนลุก ขนพอง น่าหวาดหวั่น ขวัญสยอง รวมทั้งน่าเป็นห่วง น่ากังวล เอามากๆ...
โดยเฉพาะเมื่อยังไม่อาจคาดเดาและมิอาจประเมินได้ว่า...สุดท้ายผลการเจรจาระหว่างอเมริกัน-อิหร่าน ในเรื่องราวดังกล่าวจะเป็นไปในรูปไหนต่อรูปไหน จะส่งผลให้เกิดความพอ-ไม่พอใจ ต่อรัฐบาลอิสราเอลและลูกหลานชาวยิว ระดับที่พอช่วยให้เกิดการยั้งมือ ยั้งตีน หรือไม่ อย่างไร เพราะไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม และรัฐมนตรีต่างประเทศอิสราเอล ที่แม้จะอยู่กันคนละพรรค แต่ไม่ได้ถึงกับอยู่กันคนละพวก ต่างก็ออกมาประสานเสียงไปในแนวเดียวกัน ถึง “ความพร้อม” ที่จะเผชิญหน้าทางทหารกับอิหร่าน แบบตรงไป-ตรงมา และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ถ้าหากดันมีอะไรตูมๆ-ตามๆ ขึ้นมาในช่วงนี้และในลักษณะที่ว่านี้ ยังไงๆ...มันคงไม่อาจ “จบ” ลงไปได้ง่ายๆ!!! เพราะอย่างที่บรรดานักยุทธศาสตร์ทั้งหลาย ได้สรุปไว้ในแนวเดียวกันประมาณว่า ปัญหาในการเผชิญหน้ากับประเทศพี่เบิ้มในตะวันออกกลางอย่างอิหร่านนั้น คงไม่ใช่เป็นแค่เรื่องของกรรมวิธีในการ “โจมตี” แต่เป็นเรื่องของกรรมวิธีในการรับมือกับการ “ตอบโต้” นั่นแหละมากกว่า การคิดจะ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาในช่วงที่ราคาน้ำมันกำลังแพงๆ อยู่ในทุกวันนี้ ย่อมมีแต่ทำให้โลกทั้งโลกหนีไม่พ้นต้อง “ฉิบหาย” ตามไปด้วยอย่างมิพึงต้องสงสัย...