ขณะที่ความเป็นไปหลักๆ ของโลกยังไม่ถึงกับเปลี่ยนแปลงไปสักกี่มากน้อย...วันนี้คงต้องขออนุญาตกลับไปตรวจสอบฉากสถานการณ์การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 กันอีกสักรอบน่าจะเหมาะกว่า เพราะตัวเลขการติดเชื้อ แพร่เชื้อ ของผู้คนในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะประเทศหนาวๆ อย่างยุโรปช่วงนี้ มันออกจะเด้งดึ๋งพรวดๆ พราดๆ ก่อให้เกิด “ปัญหา” ไม่ใช่เฉพาะแต่เรื่อง “ป่วยตาย-อดตาย” หรือแค่เรื่อง “สุขภาพ” หรือ “เศรษฐกิจ” ในแต่ละประเทศเท่านั้น แต่โดยแนวโน้มไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาว มันอาจลุกลามบานปลายไปถึงเรื่อง “การเมือง” หรือเรื่อง “ระบบ-ระบอบการปกครอง” ของบรรดาประเทศ “สังคมประชาธิปไตย” ทั้งหลาย เอาเลยก็ไม่แน่!!!
คืออย่างที่เคยว่าๆ ไว้แล้วนั่นแหละว่า...สำหรับ “สังคมเผด็จการ” แบบชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อย่างประเทศคอมมิวนิสต์จีนแค่เจอคนเดินเข้าไปในโรงแรมระดับห้าดาว ถามหาหนทางไปไหน-มาไหน เป็นคนที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าติดเชื้อโควิดเพียงเท่านั้น...พนักงานโรงแรมทั่วทั้งโรงแรม ต้องถูกจับตรวจ ถูกพิสูจน์ ถูกกักตัวนานถึง 2 สัปดาห์ ว่าจะติดเชื้อ-ไม่ติดเชื้อไปด้วยหรือไม่ อย่างไร หรือแค่พนักงานรถไฟรายเดียวดันไปติดเชื้อกันในตอนไหน เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ แต่บรรดาผู้โดยสารรถไฟคันดังกล่าวทั้งขบวน ต้องถูกจับมาตรวจเชื้อ พิสูจน์เชื้อ ถูกกักตัวจนกระทั่งหายสงสัย หรือแค่ผู้เข้าไปเที่ยวสวนสนุกเพียงรายเดียวเป็นผู้ติดเชื้อ บรรดานักเที่ยวสวนสนุกอีกจำนวนถึง 30,000 ราย ต้องถูกจับมาตรวจพิสูจน์ ถูกกักตัว จนกว่าจะแน่ใจ มั่นใจ ไปจนถึงเกิดการติดเชื้อในบางเมือง บางมณฑล แค่สิบราย ยี่สิบราย แต่การปิดบ้าน-ปิดเมือง ห้ามผู้คนนับเป็นล้านๆ หรือสิบล้าน ยี่สิบล้าน ออกไปไหน-มาไหน เพื่อให้สังคมจีนปลอดโควิด หรือ “โควิดเหลือศูนย์” จึงถือเป็นสไตล์ เป็นมาตรการตามแบบฉบับเผด็จการ ที่ไม่เพียงแต่บรรดา “กุมารจีน” ทั้งหลาย ไม่คิดจะหือรือ ไม่รู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านใดๆ แต่เพียงเท่านั้น ส่วนใหญ่...กลับหันมาเห็นดี-เห็นงาม กับมาตรการดังกล่าว ชนิดผู้สื่อข่าว “บีบีซี” ที่พยายามเข้าไปคุ้ย แคะ แกะ เกา ไปชำแรก แทรกซึม ค้นหาความไม่พอใจต่อรัฐบาลจีน แทบหาไม่เจอแม้แต่รายเดียวเอาเลยก็ว่าได้...
แต่สำหรับบรรดาประเทศในยุโรป ที่โดยส่วนใหญ่ต่างเคย “ครองโลก” เคยเป็น “เจ้าอาณานิคม” ควบคุม ปกครอง และดูแลโลกทั้งโลกจนต่างต้องหันมาเดินตาม “มาตรฐานแบบตะวันตก” ไปด้วยกันทั้งสิ้น หรือต่างต้องหันมาให้ค่า ให้ราคา กับเรื่องสิทธิ-เสรีภาพ-ความเสมอภาค หรือ “ประชาธิปไตยตามแบบตะวันตก” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ แต่ครั้นเมื่อเจอเข้ากับภาวะการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าแบบจะจะ จังๆ ความสับสนวุ่นวาย ชุลมุนชุลเก ชนิดปั่นป่วนกันไปทั่วทั้งยุโรป กำลังอุบัติให้เห็นๆ กันชัดๆ ในแต่ละประเทศ แต่ละเมือง จนไม่ใช่แค่ก่อให้เกิด “ปัญหา” ในแง่สุขภาพ และลุกลามไปสู่การหาทางฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังทำท่าว่าอาจค่อยๆ กลายไปเป็น “ปัญหาทางการเมือง” โดยเฉพาะต่อบรรดาประเทศที่กำลังใกล้เลือกตั้งกันใหม่ในปีหน้า ไม่ว่าจะฝรั่งเศส ฮังการี หรือแม้แต่เยอรมนี ฯลฯ ที่เพิ่งเลือกๆ กันไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้...
เพราะโดยการประท้วงต่อต้านมาตรการต่างๆ ของรัฐบาลแต่ละรัฐบาลในยุโรปช่วงนี้ ต้องเรียกว่า...หนักหนา-สาหัสไม่น้อยไปกว่า “ม็อบทะลุฟ้า-ทะลุแก๊ส” บ้านเราเอาเลยก็ว่าได้ “ดัตช์” หรือ “เนเธอร์แลนด์” อดีตเจ้าอาณานิคมเกาะแก่งต่างๆ ในอินโดนีเซีย มาเลเซีย ในทะเลจีนใต้มานับศตวรรษๆ วัน-สองวันมานี้ เจอกับการลุกฮือประท้วงของผู้คนนับเป็นหมื่นๆ ถึง 3 วัน 3 คืน ไม่ว่าในกรุง Hague, Roosendaal, Enschede, Groningen, Rotterdam โดยเฉพาะ 3 เมืองหลัง ถึงกับต้อง “ประกาศกฎอัยการศึก” เอาเลยถึงขั้นนั้น เพราะเกิดการเผารถ เผารา บุกปล้น บุกทำลายร้านค้า อาคารสถานที่ของรัฐบาล ชนิดไฟลุกพรึ่บแดงจ้ากันในถนนแต่ละสาย ต้องงัดเอากระสุนยาง กระสุนจริง แก๊สน้ำตา รถฉีดน้ำ ฯลฯ ออกมารับมือกับผู้คนพลเมืองในแต่ละเมือง ก่อนกวาดจับเข้าคุก เข้าซังเตไปแล้วไม่ต่ำกว่า 145 ราย เพียงแค่เพราะรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ที่เริ่มตกอก ตกใจ กับตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศที่พุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ อย่างผิดสังเกต จนต้องประกาศ “ล็อกดาวน์” พื้นที่บางส่วนของประเทศเป็นเวลา 3 สัปดาห์ อันส่งผลให้บรรดาร้านค้า ร้านอาหาร หรือสถานที่มั่วสุม ชุมนุมต่างๆ ต้องเปิดๆ-ปิดๆไปตามกำหนดการเท่านั้นเอง...
ส่วนอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส ฯลฯ แทบไม่ต้องพูดถึง...เพราะต่างหันมาทะลุฟ้า-ทะลุแก๊สกันโดยตลอด โดยเฉพาะฝรั่งเศสเห็นว่าลุกลามไปถึงดินแดนอาณานิคมในทะเลแคริบเบียน อย่างจังหวัด “Guadeloupe” กันมั่งแล้ว!!! มีผู้คนพลเมืองถึง 40,000 ราย ภายใต้การนำของสหภาพแรงงาน “UGTG” ออกมาประท้วงไม่เห็นด้วยกับมาตรการ “คุมเข้ม” ของรัฐบาลฝรั่งเศสในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าการเว้นระยะห่าง การออกพาสปอร์ต วีซ่า เพื่อกดดันบังคับให้คนไปฉีดวัคซีนให้เยอะๆ เข้าไว้ ไม่ต่างไปจากอดีตเจ้าอาณานิคมอีกรายในแอฟริกาอย่างประเทศเบลเยียม ผู้คนที่ออกมาก่อการประท้วงในเรื่องราวดังกล่าวเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา เห็นว่าปาเข้าไปถึง 35,000 ราย และยังระบาดต่อไปยังโครเอเชีย อิตาลี เช็ก สโลวาเกีย ฮังการี สโลวีเนีย จนถึงสวิตเซอร์แลนด์ ฯลฯ โน่นเลย รวมทั้งออสเตรีย ที่แม้จะมีประชากรแค่ 8.9 ล้านราย ฉีดวัคซีนไปแล้วถึง 66 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากร แต่เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อเมื่อช่วงวันศุกร์ (19 พ.ย.) ที่ผ่านมา มันพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ ขึ้นไปถึง 15,809 รายภายในวันเดียว รัฐบาลออสเตรียจึงถือเป็นชาติยุโรปชาติแรก ที่เลี่ยงไม่พ้นต้องหันกลับไป “ล็อกดาวน์” ต้องปิดบ้าน ปิดเมือง หรือปิดประเทศทั้งประเทศ และต้องเจอกับการประท้วง การก่อความรุนแรงของผู้คนพลเมืองในลักษณะที่แทบไม่ต่างไปจากชาติยุโรปอื่นๆ...
อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้การแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด ไม่ใช่เป็นแค่ปัญหาสุขภาพ หรือปัญหาการหาทางฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ อันเป็นสิ่งที่บรรดาชาติยุโรปแต่ละรายต่างก็หนักอก-หนักใจไปด้วยกันทั้งสิ้นเท่านั้น แต่มันยังเริ่มลุกลามไปเป็น “ปัญหาทางการเมือง” เป็นการแสดงออกถึงความไม่เชื่อมั่น-ไม่ศรัทธาในรัฐบาลแต่ละรัฐบาล โดยอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “เสรีภาพ” ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยนั่นแหละเป็นเครื่องมือ โดยไม่ว่าการแสดงออกเช่นนี้...ถูก-หรือผิด เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร แต่ย่อมส่งผลให้ความพยายามแก้ปัญหาด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ของแต่ละรัฐบาลต้องประสบกับอุปสรรคและความยุ่งยาก หรือต้องล่าช้าออกไป และนั่นจะกลายเป็นตัวย้อนกลับมาสร้างความไม่พอใจต่อผู้คนพลเมือง แบบชนิดวนไป-วนมา ไม่ต่างอะไรไปจาก “วงจรอุบาทว์” อีกชนิดหนึ่งนั่นเอง!!!
ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ผู้อำนวยการสถาบัน “International Affairs” แห่งมหาวิทยาลัย “Renmin University” ของจีน อย่าง “นายWang Yiwei” เขาถึงกับสรุปเอาไว้ประมาณว่า การประท้วงและการก่อความรุนแรงที่ลุกลามบานปลายไปทั่วทั้งประเทศยุโรปในทุกวันนี้ กำลังกลายเป็น “การประท้วงระบบทั้งมวลในยุโรป” หรือเป็นการแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อ “ระบอบประชาธิปไตยแบบยุโรป” ทั่วทั้งระบบเอาเลยก็ว่าได้ ระบบที่ปราศจาก “รัฐบาลที่เข้มแข็ง” ปราศจาก “นักการเมือง” ที่มีความน่าเชื่อมั่น เชื่อถือ ในความซื่อสัตย์ สุจริตและการเสียสละ ที่ค่อยๆ สั่งสม พอกพูนกันมาเป็นระยะๆ จนส่งผลให้ “ประชาธิปไตยตามแบบฉบับตะวันตก” หรือแม้กระทั่ง “วัฒนธรรมตะวันตก” อาจต้องออกอาการ “Westlessness” ชนิดไม่อาจนำไปใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการครอบงำ ควบคุม ดูแล ใครต่อใครแต่ละพื้นที่ แต่ละซีกโลก อีกต่อไปได้แล้ว...
อันนี้นี่เอง...ที่ต้องถือว่าเป็นอะไรที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ เพราะในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือประมาณช่วงเดือนธันวาคมที่จะถึง ไม่ว่าจะโดยบรรดาประเทศในยุโรป หรือคุณพ่ออเมริกาที่ประกาศอาสาเป็นเจ้าภาพ ในการประชุมสุดยอดบรรดาประเทศประชาธิปไตยในโลก หรือ “Democracy Summit” เพื่อหวังจะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นี่แหละ เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับบรรดามหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย แต่ถ้าหากประชาธิปไตยตามมาตรฐานยุโรป หรือมาตรฐานอเมริกา ดันมา “ตกม้าตาย” ไปซะก่อนหน้า โอกาสที่จะงัดอะไรออกมาสู้กับพญามังกรและหมีขาว ก็น่าจะยิ่งยากเย็นแสนเข็ญ ยิ่งเข้าไปเท่านั้น...นั่นแล...