ว่ากันเรื่อง “เคียดๆ” (เครียดๆ) เรื่องแนวรบโน่น แนวรบนี่ มาตลอดสัปดาห์...ปิดฉากสัปดาห์นี้เลยคงต้องหาทางคลายๆ หาเรื่องที่มันออกไปทางโล่งๆ โปร่งๆ หรือแบบประเภทที่อาจช่วยให้เกิดความสอดคล้องกับสีสัน บรรยากาศ แห่งการเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ มาพูดจาว่ากล่าวเอาไว้มั่ง...
คือถ้าลองสรุปรวมความรวบๆ รัดๆ แบบสั้นๆ ง่ายๆ...ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา หรือประเทศไหนๆ ก็แล้วแต่ คงน่าจะถึงขั้น “อั้นไม่อยู่” ต่อไปอีกแล้ว!!! สำหรับการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ลากยาวว์ว์ว์มาในระดับร่วมๆ 2 ปี ก็ยังไม่คิดจะเหี่ยวปลาย ไม่คิดจะหัวตกลงไปซักกะที จำนวนผู้ติดเชื้อ แพร่เชื้อ ในประเทศต่างๆ ในแต่ละวัน ต้องเรียกว่า...ยังน่าเกลียด น่ากลัว มิใช่น้อย อย่าง “แชมป์โรค” เช่น คุณพ่ออเมริกา จำนวนผู้ติดเชื้อยังปาเข้าไปวันละ 7 หมื่น 8 หมื่น ประเทศในยุโรปอย่างเยอรมนี ไม่รู้ว่าเพราะการ์ดตก หรือไม่คิดจะสวมการ์ดอีกต่อไป หรือไม่ อย่างไร แต่จำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดที่พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นมาถึงวันละ 50,000 กว่าคน ก็เล่นเอาถึงขั้น “ผงะ” กันไปเป็นแถบๆ ไม่ต่างไปจากเมืองผู้ดีอังกฤษ ที่คงไม่มีใครคิดจะสวมหน้ากากไปเชียร์ “ผีแดง-แมนยู” หรือ “หงส์แดง-ลิเวอร์พรุน” ต่อไปอีกแล้ว ระดับการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ เลยยังปาเข้าไปถึงวันละ 3 หมื่น 4 หมื่นคน เป็นอย่างน้อย...ฯลฯ...
ยิ่งถ้าหากไปดูจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อกันในระดับทั่วทั้งโลก...ก็ยิ่งน่าขนลุก ขนพอง ยิ่งขึ้นไปใหญ่ คือปาเข้าไปถึง 200 กว่าล้านคน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 5 ล้านเกือบ 6 ล้านคน พอๆ กับจำนวนคนตายในครั้งสงครามโลกครั้งที่ 1 หรือครั้งถัดๆ มา จนไม่อาจถือเป็นเรื่อง “ปกติ” ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ทำไงได้...ในเมื่อแทบทุกประเทศนั่นแหละ ต่างก็กลัว “อดตาย” ไม่น้อยไปกว่ากลัว “ป่วยตาย” การยอมรับที่จะ “อยู่ร่วมกับเชื้อโควิด” ไปอีกตราบนานเท่านาน ด้วยการหันมาปลอบประโลมตัวเอง ไม่ว่าโดยจำนวนปริมาณผู้ฉีดวัคซีนเข็มหนึ่ง เข็มสอง เข็มสาม ที่เพิ่มขึ้นๆ ในแต่ละประเทศ ด้วยการออกพาสปอร์ต วีซ่าด้านสุขภาพ ให้ใครต่อใครสามารถไปไหนต่อไหน สามารถท่องเที่ยว-เดินทาง ใช้บริการสาธารณะได้อย่างไม่พึงต้องระแวง สงสัยใดๆ อีกต่อไป ฯลฯ ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ จึงกลายเป็น “ข้อเท็จจริงที่เอ็งมิอาจปฏิเสธ” ของแต่ละประเทศไปแล้วก็ว่าได้...
แม้แต่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาก็เถอะ!!!...จากที่เคยได้ “รายได้หลัก” เพราะบรรดา “นักท่องเที่ยว” เป็นมูลค่าถึง 16 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ถ้าหากยังปิดประตู ปิดหน้าต่าง ปิดบ้าน ปิดเมือง กันอีกต่อไปนับจากนี้ โอกาส “อดตาย” กันทั้งประเทศ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ดังนั้น...การที่ท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ท่านถึงกับต้องลงทุนใส่เสื้อพระราชทาน ไปยืนโพสต์ท่า ปานประดุจนายแบบอาชีพแถวๆจังหวัดกระบี่อะไรทำนองนั้น พร้อมๆ กับแสดงความภาคภูมิ ยินดี ที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางต่างประเทศ ทะลักเข้าในประเทศไทยถึงประมาณ 5 หมื่นคนเข้าไปแล้ว (50,074) ราย นับแต่ช่วงเปิดประเทศ หรือนับตั้งแต่วันที่ 1-14 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยพบจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” เพียงแค่ 56 ราย หรือ 0.11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง จึงเป็นอะไรที่ออกจะ “สุรบถ หลีกภัย” หรือออกจะเป็น “ปลื้มม์ม์ม์” สำหรับผู้ที่ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อความเป็นไปของบ้านเมือง ดังเช่นคุณลุง “บิ๊กตู่” เอามากๆ...
ไม่ต่างไปจากประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่าง “อาเซียน” ทั้งอาเซียนนั่นแหละ...ว่ากันว่า “รายได้จากการท่องเที่ยว” ที่มากถึง 12 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโดยรวม ส่งผลให้ไม่ว่ามาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม อินโดฯ ไปจนถึงกัมพูชา ฯลฯ หนีไม่พ้นต้องหันมาเห็นดี-เห็นงามกับการเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ เหมือนอย่างไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาไปด้วยกันทั้งสิ้นแม้ว่าบรรดา “นักท่องเที่ยว” ที่แห่เข้ามาบ้านเราในล็อตแรกๆ ดูจะหนักไปทางอเมริกา เยอรมนี อังกฤษ ญี่ปุ่น รัสเซีย ฯลฯ ที่ล้วนแล้วแต่งอมๆ แงมๆ ไปทั้งประเทศเพราะท่านเชื้อโควิดไปด้วยกันทั้งนั้น แต่ทำไงได้...ในเมื่อการ “อดตาย” มันชักจะน่าเกลียด น่ากลัว ไม่น้อยกว่าการ “ป่วยตาย” ยิ่งเข้าไปทุกที...
แต่สิ่งที่น่าสนใจและน่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ ก็คือว่า...ในจำนวนนักท่องเที่ยวที่เริ่มแห่เข้ามาในประเทศไทย กลับแทบไม่มีนักท่องเที่ยวที่ชอบเข้ามาขี้ เข้ามาเยี่ยวแถวๆ “วัดร่องขุ่น” ของอาจารย์ “เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์” เอาเลยแม้แต่น้อย นั่นก็คือนักท่องเที่ยวจากเมืองจีน ที่ถือเป็นผู้สร้างรายได้สูงสุดให้กับการท่องเที่ยวไทย หรือของอีกหลายๆ ประเทศมาโดยตลอด อันเนื่องมาจากประเทศที่อยู่ภายใต้การปกครองด้วยระบบ “เผด็จการคอมมิวนิสต์” รายนี้ ยังคงยึดมั่นอยู่กับการ “คุมเข้ม” สำหรับการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ของบรรดาผู้คนภายในประเทศ หรือยังยึดมั่นอยู่กับเป้าหมาย นโยบาย ที่จะทำให้ประเทศทั้งประเทศ เป็นเขต “ปลอดเชื้อโควิด” หรือ “โควิดเป็นศูนย์” อะไรประมาณนั้น...
คือถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของสำนักข่าว “บีบีซี” ของอังกฤษ ว่ากันว่า...แค่มีคนเดินเข้าไปในโรงแรมชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แต่เมื่อพบว่าคนผู้นั้นติดเชื้อโควิด ทางการของจีนเขาถึงกับสั่งกักตัวพนักงานทั้งหมดในโรงแรมเอาไว้ถึง 2 สัปดาห์ รอการตรวจเชื้อ พิสูจน์เชื้อ เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือแค่พนักงานรถไฟรายเดียว ติดเชื้อโควิด ปรากฏว่า...ผู้โดยสารทั้งขบวนถูกเรียกมากักตัว ตรวจเชื้อ พิสูจน์เชื้อ หรือเมื่อเจอว่านักท่องเที่ยวที่เข้าไปเที่ยวในสวนสนุก เป็นหนึ่งในผู้ติดเชื้อ บรรดานักท่องเที่ยวอีกถึง 33,863 คน ต่างถูกเรียกตัวมาตรวจสอบโดยละเอียด ชนิดไม่ยอมให้เกิดการเล็ดรอดใดๆ ได้เลย ฯลฯ จริง-ไม่จริง...คงต้องลองไปเช็กกันดูอีกที แต่ถ้าว่ากันตามข่าวคราวของสำนักข่าวโดยทั่วไป ก็น่าจะหนักไปในแนวนั้น คือเพียงพบจำนวนผู้ติดเชื้อแค่ไม่กี่สิบคน ทางการจีนเขาถึงกับปิดบ้าน ปิดเมือง ปิดมณฑลทั้งมณฑลให้เห็นชัดๆ กันมาบ้างแล้ว...
และที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...เมื่อสำนักข่าวอังกฤษอย่าง “บีบีซี” ลองไปคุย แคะ แกะ เกา หรือลองไปสอบถามความในใจของบรรดากุมารจีนทั้งหลาย ว่าจะรู้สึก “หุดๆ-หิดๆ” ไม่พออก-พอใจต่อมาตรการคุมเข้มของรัฐบาลหรือไม่ อย่างไร ปรากฏว่า...โดยส่วนใหญ่ กลับเห็นดี-เห็นงาม เห็นถึงความพยายาม ความเป็นห่วง เป็นใย ของทางการจีน มากกว่าที่จะฉุนฉิว กริ้วโกรธ ไปจนถึงอาฆาตพยาบาท เหมือนอย่างบรรดาผู้คนพลเมืองใน “สังคมประชาธิปไตย” ที่เต็มไปด้วยเสรีภาพในระดับพร้อมที่จะ “ลงถนน” ได้ทุกเมื่อ อันส่งผลให้รัฐบาลประชาธิปไตยทั้งหลาย แทบอ้วกแตก อ้วกแตนมาโดยตลอด...
อย่างไรก็ตาม...ความพยายามที่จะทำให้ประเทศทั้งประเทศ เป็นเขต “ปลอดเชื้อโควิด” หรือ “โควิดเป็นศูนย์” มันจะเป็นไปได้มาก-น้อยเพียงใด ในเมื่อโลกทั้งโลกที่ยังเต็มไปด้วยผู้ติดเชื้อ ผู้แพร่เชื้อ ชนิดนับเป็นร้อยๆ ล้าน ชักเริ่มหันมาผ่อนๆ คลายๆ เริ่มหันมาไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน เริ่มหันมาเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ ไม่ได้คิดจะคุมเข้มใดๆ อีกต่อไป เพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านไวรัสวิทยา แถมยังเคยมีฐานะเป็น “ที่ปรึกษา” รัฐบาลจีนมาก่อนหน้านี้ อย่างศาสตราจารย์ “กวน อี้” (Guan Yi) แห่งมหาวิทยาลัยฮ่องกง ยังคิดว่า...ไม่น่าจะเป็นไปได้โดยเด็ดขาด!!!
ด้วยเหตุนี้...คงต้องคอยจับตากันดูต่อไปนั่นแหละว่า ในเมื่อโลกทั้งโลกมันกำลัง “ไหล” ไปในแนวนี้ สุดท้ายแล้ว...มันจะทำให้ “ความเป็นเผด็จการ” ของจีน ต้องผิดแผกแตกต่าง หรือต้อง “แปลกแยก” ไปจากประเทศอื่นๆ มาก-น้อยแค่ไหน??? และจะมีโอกาสส่งผลกระทบถึงระบบสังคม เศรษฐกิจ ไปจนถึงการเมืองหรือไม่? อย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ น่าหยิบเอามาใช้เป็นข้อสังเกต หรือกระทั่งหยิบเอามาเป็นอุทาหรณ์สอนใจ สำหรับประเทศที่ถูกพวกเด็กๆ กล่าวหาว่าเป็น “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ทั้งที่เป็น “ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” แท้ๆ ได้บ้างก็ไม่แน่???