หลายเมืองในยุโรปและบางดินแดนของฝรั่งเศสยังคงมีการประท้วงรุนแรงของผู้คนเรือนพันเรือนหมื่น เพื่อต่อต้านการฟื้นมาตรการควบคุมโควิดระลอกใหม่ ทว่าออสเตรเลียและนิวซีแลนด์กลับตรงกันข้าม สถานการณ์การระบาดเริ่มเบาลง ทางการจึงเตรียมเปิดประเทศและผ่อนคลายการล็อกดาวน์
เวลานี้ ยุโรปกำลังเผชิญการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ขณะฤดูหนาวย่างกรายเข้ามา ส่งผลให้หลายประเทศยกระดับมาตรการป้องกัน ถึงแม้การฉีดวัคซีนอยู่ในอัตราค่อนข้างสูงแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุโรปตะวันตก แต่ผลที่ตามมาคือการประท้วงของกลุ่มคนซึ่งไม่พอใจการใช้มาตรการคุมเข้มกันอีก
ที่บรัสเซลส์ เมืองหลวงของเบลเยียม ซึ่งประกาศห้ามผู้ไม่ฉีดวัคซีนใช้บริการในสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหารและบาร์ การประท้วงที่ดำเนินมาหลายวัน โดยตำรวจระบุว่า บางช่วงมีผู้เข้าร่วม 35,000 คน ได้บานปลายกลายเป็นเหตุรุนแรงเมื่อวันอาทิตย์ (21 พ.ย.)โดยตำรวจต้องใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงและแก๊สน้ำตาตอบโต้ผู้ประท้วงที่ขว้างปาสิ่งของและกระทั่งใช้อาวุธชนิดยิงได้ไกลๆ มายิงใส่ ส่งผลให้ตำรวจ 3 นายได้รับบาดเจ็บ
ผู้ประท้วงบางส่วนยังเผาพวกแผ่นไม้สำหรับรองรับบรรจุภัณฑ์ (พาเลทไม้) ทำลายรถตำรวจและป้ายจราจร
ส่วนในประเทศเพื่อนบ้านอย่างเนเธอร์แลนด์ ก็เกิดการประท้วงในหลายเมือง โดยในคืนวันอาทิตย์ (21) ถือเป็นคืนที่สามติดต่อกันแล้วที่ฝูงชนรวมตัวต่อต้านมาตรการสกัดไวรัสโคโรนาของรัฐบาล เช่นที่เมืองเอนส์เกเด ใกล้ชายแดนเยอรมนี ซึ่งต้องประกาศคำสั่งฉุกเฉินห้ามประชาชนไปชุมนุมกันบนถนน และในเมืองลีวาร์ดิน ซึ่งการแข่งขันฟุตบอลต้องหยุดช่วงสั้นๆ หลังจากกองเชียร์ส่วนหนึ่งที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าชมในสนามเนื่องจากมาตรการสกัดโรคระบาด ได้ยิงพลุเข้าไปในสนาม
สำหรับที่ออสเตรีย ประชาชนราว 6,000 คนร่วมการประท้วงในเมืองลินซ์ ที่จัดโดยพรรคการเมืองใหม่พรรคหนึ่ง หลังจากเมื่อวันเสาร์ (20) มีประชาชน 40,000 คนเดินขบวนในกรุงเวียนนา เพื่อต่อต้านการนำเอามาตรการล็อกดาวน์บางส่วนกลับมาใช้ใหม่
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันจันทร์ (22) ชาวออสเตรีย 8.9 ล้านคนจะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกจากบ้าน ยกเว้นไปทำงาน ซื้อของใช้ที่จำเป็น และออกกำลังกาย และการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะถือเป็นมาตรการบังคับนับจากวันที่ 1 กุมภาพันธ์ปีหน้าเป็นต้นไป
ขณะเดียวกัน เหตุการณ์วุ่นวายจากการต่อต้านมาตรการควบคุมโควิดซึ่งยืดเยื้อมานานหนึ่งสัปดาห์ในกัวดาลูป ซึ่งเป็นดินแดนของฝรั่งเศสในทะเลแคริบเบียน ได้ส่งผลให้ทางการฝรั่งเศสส่งทหารไปควบคุมสถานการณ์เมื่อวันอาทิตย์ ขณะที่นายกรัฐมนตรีฌอง คาสเท็กซ์ของแดนน้ำหอม เตรียมจัดประชุมกับเจ้าหน้าที่จากกัวดาลูป
ถนนหลายสายที่นั่นยังคงปิดในวันอาทิตย์ หลังจากผู้ประท้วงฝ่าฝืนคำสั่งเคอร์ฟิวที่มีผลจนถึงวันอังคาร (23) บางกลุ่มยังเข้าปล้นและเผาร้านค้าและร้านขายยาในช่วงกลางดึก โดยตำรวจจับกุมผู้ก่อเหตุได้ 38 คน และสมาชิกกองกำลังรักษาความปลอดภัยได้รับบาดเจ็บ 2 คน
ออสซี่-นิวซีแลนด์ผ่อนกฎ
ขณะที่โควิดระลอกใหม่กลับมาอาละวาดในยุโรป สถานการณ์การระบาดในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เริ่มซาลง และทางการตัดสินใจผ่อนคลายมาตรการสกัดโรคระบาด
นายกรัฐมนตรีสกอตต์ มอร์ริสัน ของแดนจิงโจ้ เปิดเผยเมื่อวันจันทร์ว่า ออสเตรเลียจะอนุญาตให้ชาวต่างชาติที่ถือวีซ่าธุรกิจ รวมทั้งนักศึกษาที่ฉีดวัคซีนแล้ว ตลอดจนผู้ลี้ภัย นักท่องเที่ยวจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ฉีดวัคซีนแล้ว เดินทางเข้าประเทศได้ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ซึ่งถือเป็นขั้นตอนล่าสุดในการรีสตาร์ทการเดินทางระหว่างประเทศและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
ออสเตรเลียปิดพรมแดนมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 โดยอนุญาตให้พลเมืองและผู้พำนักถาวรจำนวนจำกัดเท่านั้นเดินทางเข้าประเทศเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19
ทว่า หลายสัปดาห์ที่ผ่านมาเริ่มมีการผ่อนคลายกฎและอนุญาตให้สมาชิกครอบครัวที่เป็นคนต่างชาติของพลเมืองออสเตรเลียเดินทางเข้ามา
มอร์ริสันสำทับว่า การกลับมาของพวกแรงงานมีทักษะและนักศึกษาจะเป็นก้าวสำคัญในการฟื้นตัวของออสเตรเลีย
วันเดียวกันนั้น ที่นิวซีแลนด์ นายกรัฐมนตรีจาซินดา อาร์เดิร์น ของแดนกีวี ซึ่งเป็นประเทศที่ก่อนหน้านี้ใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์อย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกับออสเตรเลีย ออกมาประกาศว่า นับจากวันที่ 3 ธันวาคม นิวซีแลนด์จะปรับใช้ระบบใหม่ ซึ่งเน้นการอยู่ร่วมกับโควิด และยุติมาตรการเข้มงวดจำกัดต่างๆ
อาร์เดิร์นแจงว่า จากข้อเท็จจริงที่ว่า ไวรัสสายพันธุ์เดลตาจะไม่มีวันหายไป แต่นิวซีแลนด์มีความพร้อมรับมือสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี จากอัตราการฉีดวัคซีนสูง รวมทั้งมาตรการความปลอดภัยล่าสุด อย่างเช่น ระบบแบ่งพื้นที่ระบาดตามสีสัญญาณไฟจราจร และ วัคซีนพาสส์
ระบบใหม่จะแบ่งพื้นที่ต่างๆ เป็นสีแดง เหลือง และเขียวตามระดับการระบาดของโควิด-19 และอัตราการฉีดวัคซีน ตัวอย่างเช่นโอ๊คแลนด์ที่เป็นศูนย์กลางการระบาดของสายพันธุ์เดลตา จะเริ่มต้นด้วยรหัสสีแดงซึ่งกำหนดให้ประชาชนต้องสวมหน้ากาก จำกัดจำนวนคนในการทำกิจกรรมในที่สาธารณะ
ผู้นำนิวซีแลนด์ยังระบุว่า ขณะนี้ประชาชนที่มีคุณสมบัติในการฉีดวัคซีน 83% ได้รับวัคซีนครบแล้ว และ 88% ฉีดเข็มแรกแล้ว
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)