อย่างที่ว่าไว้แล้วเมื่อวานนี้นั่นแหละว่า สำหรับ “แนวรบยุโรปตะวันออก” จะไปไกลถึงขั้นรัสเซียคิดจะบุกยูเครนหรือไม่? อย่างไร? อันนั้น...คงขึ้นอยู่กับรายการ “อย่าแหย่เสือหลับ” หรือ “หมีหลับ” ไปตามสภาพ แต่สำหรับ “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น “พญามังกรจีน” ที่ไม่ถึงกับ “ดุ” มากมายสักเท่าไหร่ หนักไปทางถนัดในการลอดเลื้อย โอบกระหวัดรัดพัน ใครต่อใครซะมากกว่า จะถึงขั้นต้อง “บุกไต้หวัน” หรือไม่? อย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่หลายต่อหลายรายพยายามจับจ้อง จับตา อย่างชนิดมิอาจกะพริบตา...
ด้วยเหตุเพราะข่าวคราวความเคลื่อนไหวของแนวรบด้านนี้...ออกจะเป็นอะไรที่ร้อนแรง ร้อนฉ่า มาโดยตลอด ชนิดไม่ว่านักยุทธศาสตร์อเมริกา ญี่ปุ่น ไปจนถึงไต้หวัน ต่างคิดว่า “ความเป็นไปได้” ในเรื่องนี้ อาจอุบัติขึ้นมาภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเอาเลยถึงขั้นนั้น!!! เพราะการกรีธาทัพส่งเครื่องบิน เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือรบ เรือดำน้ำ ฯลฯ ของแต่ละฝ่าย เข้าไปแล่นป้วนๆ เปี้ยนๆ ในอาณาบริเวณแถบนี้ ก่อให้เกิดบรรยากาศน่าขนลุก ขนพอง เอามากๆ โดยเฉพาะเครื่องบินจีนนับร้อยๆ ลำ ไม่ว่าเครื่องบินโจมตี ไปจนเครื่องบินทิ้งระเบิด ต่างพร้อมร่อนไป-ร่อนมา บินฉวัดเฉวียนเหนือน่านฟ้าไต้หวัน โดยไม่ได้คิดสนใจต่อเส้นสมมติที่ถูกขีดเอาไว้ในนาม “ADIZ” หรือ “Air Defense Identification Zone” แม้แต่น้อย ยิ่งช่วง “วันชาติจีน” เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ว่ากันว่า...เครื่องบินรบของจีนถึง 149 ลำ บินขึ้นผาดโผน ฉวัดเฉวียนอยู่แถวๆ น่านฟ้าด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะไต้หวัน แบบชนิดต้องการให้บรรดาชาวไต้หวันที่คิดแยกตัวเป็นเอกราช หรือแยกตัวเองออกจากแผ่นดินใหญ่ พอได้รู้มั่ง...ว่าใครเป็นใคร-ไผเป็นไผ อะไรประมาณนั้น…
นอกเหนือไปจากนั้น...ยังมีการ “เตรียมพร้อม” แบบเต็มอัตราศึกคราวแล้ว-คราวเล่า สำหรับกองทัพภาคตะวันออกของจีน ที่อยู่ห่างช่องแคบไต้หวันแค่ไม่กี่กิโลเมตร มีการสร้างฐานเฮลิคอปเตอร์ที่สามารถลำเลียงพลขึ้นไปยังเกาะแก่งต่างๆ หรือในเกาะไต้หวันได้แค่ภายในไม่กี่ชั่วโมง รวมทั้งการเปิดฉาก “ซ้อมรบ” ชนิดซ้อมแล้ว-ซ้อมเล่า กระทั่งล่าสุด...ที่เครื่องบินทหาร C-40 Clipper jet ของสหรัฐฯ ขนเอาบรรดาสมาชิกสภาอเมริกันไปเยือนไต้หวันอย่างเป็นทางการ เมื่อช่วงวันอังคาร (9 พ.ย.) ที่ผ่านมา หลังการออกมาประณามอเมริกาว่ากำลังกระทำการ “ล่วงละเมิดอย่างร้ายแรง” โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กระทรวงกลาโหมของจีนก็พร้อมประกาศการ “ซ้อมรบ” ภายในแค่ไม่กี่ชั่วโมงนับจากนั้น ชนิดเสียงปืนใหญ่ เสียงจรวด เสียงขู่คำราม น่าจะดังเข้าหูของบรรดาสมาชิกสภาอเมริกันและชาวไต้หวัน ได้ไม่ยากส์ส์ส์....
แต่ก็นั่นแหละ...สำหรับเกาะเล็กๆ อย่างไต้หวัน ตั้งแต่ระดับหัวหน้ารัฐบาล ประธานาธิบดี “ไช่ อิงเหวิน” (Tsai Ing-wen) แห่งพรรค “DPP” ไปจนบรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงแต่ละราย ต่างก็พร้อมที่จะเล่นบท “ดาวยั่ว” ชนิดไม่คิดจะหวั่นเกรง ไม่ออกอาการฝ่อใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แม้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา รัฐบาลจีนจะงัดกฎหมายความมั่นคงออกมาเล่นงานชาวไต้หวันผู้ “ก่ออาชญากรรม” ด้วยการคิดแยกดินแดนกันเป็นระนาว ห้ามมิให้บุคคลหรือครอบครัว มีโอกาสเดินทางเข้ามาในดินแดนของจีน เกาะฮ่องกง และมาเก๊า ห้ามประกอบธุรกิจ ธุรกรรม นานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง นักธุรกิจ นายแบงก์ ไปจนนักหนังสือพิมพ์ ฯลฯ แต่บางรายถึงกับออกมาประกาศว่า การถูกขึ้นบัญชีแบล็กลิสต์จากจีน ถือเป็นการได้ “เหรียญกล้าหาญ” เอาเลยก็ยังมี ขณะตัวประธานาธิบดีก็พร้อมยอมรับกับสถานีโทรทัศน์ CNN ว่าเอาเข้าจริงๆ แล้ว...ทหารอเมริกันนั้นเข้ามาฝึกอบรมให้ทหารไต้หวันตั้งแต่ปี ค.ศ. 2003 โน่นเลย และแม้จนตราบเท่าทุกวันนี้ การสั่งซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากอเมริกาเพื่อเอามาสู้กับทหารจีน การปฏิเสธความช่วยเหลือใดๆ จากจีน ไม่ยอมฉีดวัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม แม้ชาวไต้หวันกำลังติดเชื้อโควิดแบบงอมๆ แงมๆ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ยิ่งทำให้พญามังกรจีนยิ่งรู้สึกครั่นเนื้อ ครั่นตัว คันมือ คันตีน ยิ่งขึ้นไปใหญ่...
ส่งผลให้คุณพ่ออเมริกาท่านเลยหันมาคว้า “ไพ่ไต้หวัน” นี่แหละ...ในการสร้างแรงกดดัน สร้างความเจ็บปวดรวดร้าว ให้กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนอย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ มาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” จนแม้กระทั่งยุค “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ท่าทีดังกล่าวก็ยังไม่ได้คิดจะเปลี่ยน เผลอๆ...อาจหนักยิ่งกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ คือไม่เพียงแต่พยายามรวบรวมประเทศพันธมิตรอย่างกลุ่ม “QUAD” เอาไว้กดดันและปิดล้อมจีนเท่านั้น ยังหันไปสร้างข้อตกลง “AUKUS” กับอังกฤษและออสเตรเลีย ขยายอำนาจอิทธิพลนิวเคลียร์เข้ามาในแปซิฟิกตะวันตกอีกด้วยต่างหาก นั่นยังไม่รวมถึงการส่งเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบิน เรือดำน้ำนิวเคลียร์เข้ามาแล่นฉวัดเฉวียนชนภูเขาใต้ทะเลในน่านน้ำทะเลจีนใต้ เล่นเอาลูกเรือบาดเจ็บไปเป็นรายๆ การยั่วยวนกวนส้นตีนด้วยการส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงไปเยือนไต้หวัน เพื่อแสดงออกถึงพันธกรณีตามกฎหมาย “The Taiwan Relations Act” ปี ค.ศ. 1979 อันทำให้ “ยุทธศาสตร์แบบคลุมๆ เครือๆ” (Strategic Ambiguity) ยิ่งเกิดความชัดเจนว่าอเมริกาพร้อมเสมอที่จะช่วยไต้หวันสู้รบกับจีนได้ทุกเมื่อ ถ้าพญามังกรคิดจะบุกเกาะแห่งนี้ขึ้นมาเมื่อไหร่...
แต่ก็นั่นแหละ...แม้ว่าโดยสีสันบรรยากาศ มันออกจะน่ากลัว น่าขนหัวลุกอยู่พอสมควร แต่โอกาสที่จะเกิดรายการโป๊ะโชะ โป๊เชะ ถึงขั้นต้องเปิดฉากสงครามระหว่างกันและกัน ก็ยังไม่น่าจะไปไกล ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มีไปถึงขั้นนั้น อย่างที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน ผู้เคยเขียนหนังสือเรื่อง “China’s Economic Rise and Its Global Impact” ออกมาเผยแพร่เมื่อหลายปีที่แล้ว ชื่อว่า “เคน โมค” (Ken Moak) ท่านได้ร่ายเรียงไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อไม่กี่วันมานี้นี่เอง และสำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาหยิบมาถ่ายทอดไว้โดยละเอียด หรือด้วยเหตุเพราะความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์ที่เกี่ยวเนื่องกันแบบหลายซับหลายซ้อนของทั้งสองประเทศที่ต่างต้องพึ่งพาซึ่งกันและกันอย่างมิอาจปฏิเสธ แม้ว่าสัมพันธภาพระหว่างจีนอเมริกาจะถึงจุด “ตกต่ำที่สุด” นับจากปี ค.ศ. 1979 เป็นต้นมา อีกทั้งยังมีแนวโน้มว่าอาจต้องตกต่ำต่อไปเรื่อยๆ เพราะความกลัวจีน-เกลียดจีนในหมู่ชาวอเมริกัน อันเนื่องจากการผงาดขึ้นมามีอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจของจีน จะเป็นตัวบีบบังคับให้รัฐบาลอเมริกันต้องไหลไปตามกระแส อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ถึงกระนั้น...ก็น่าจะยังไม่นำไปสู่ “สงคราม” ในระยะอันใกล้ ด้วยเหตุเพราะความพังพินาศ ฉิบหาย มันมากมายเกินกว่าประเทศใด ประเทศหนึ่ง จะควบคุมเอาไว้ได้...
ดังนั้น...ไต้หวันทุกวันนี้ จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ไพ่ใบหนึ่ง” ที่ถูกแจกไป-แจกมา จั่วไป-จั่วมา นั่นแหละทั่น!!! โดยในการพบปะประชุมเสมือนจริงผ่านวิดีโอลิงก์ ระหว่างผู้นำอเมริกัน ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” กับผู้นำจีนประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ในเช้าวันนี้ (16 พ.ย.) ตามเวลาปักกิ่ง “ปัญหาไต้หวัน” คงถูกหยิบยกมาหารือระหว่างทั้งสองฝ่ายไปตาม “วิธีการเล่น” หรือตาม “จุดยืน” ของใครก็ของมัน แม้ว่าการ “รวมชาติ” หรือรวมเกาะไต้หวันมาเป็นส่วนหนึ่งจีน จะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้โดยเด็ดขาดสำหรับพญามังกรจีน หรือแม้แต่การเติบใหญ่ เติบกล้า ทางการเมือง เศรษฐกิจ ไปจนถึงการทหาร จะทำให้ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย “Harvard Kennedy School” อย่าง “Graham Allison” ถึงกับต้องออกมาเปิดเผย “ความจริงอันน่าเกลียด” (Ugly Reality) อันว่าด้วย...กองทัพอเมริกันอาจรบแพ้กองทัพจีนเอาง่ายๆ ถ้าหากจีนเกิดคิดบุกไต้หวันขึ้นมาเมื่อไหร่...
อย่างไรก็ตาม....ดูเหมือนผู้ที่ให้ข้อสรุปต่อการบุก-ไม่บุก การรวมไต้หวันเข้าเป็นส่วนเดียวกับจีนได้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจเอามากๆ น่าจะหนีไม่พ้นจากหัวหน้ากองบรรณาธิการ “Global Times” อย่าง “นายHu Xijin” นั่นแหละ ที่สรุปไว้ในข้อเขียน บทความ เมื่อไม่นานมานี้ว่า “As reunification is inevitable, most important is not timetable, but timing.” หรือในเมื่อการรวมไต้หวันเป็นสิ่งซึ่งมิอาจหลีกเลี่ยงได้ สิ่งสำคัญที่สุดจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ช่วงระยะเวลา” แต่ขึ้นอยู่กับ “ช่วงจังหวะเวลา” หรือขึ้นอยู่กับว่าช่วงจังหวะใดที่จะก่อให้เกิด “ผลประโยชน์สูงสุด” ต่อ “ยุทธศาสตร์ความมั่นคงของจีน” ยุทธศาสตร์ที่ไม่ได้กระจุกตัวอยู่แค่ในช่องแคบไต้หวัน แต่พยายามลอดเลื้อยและโอบกระหวัดรัดพันโลกทั้งโลก เพื่อหวังจะให้เกิด “โลกแบบหลายขั้วอำนาจ” ขึ้นมาแทนที่ “โลกแบบขั้วอำนาจเดียว” ให้จงได้!!! นั่นเอง...