วันนี้...ลองเปลี่ยนบรรยากาศจากเรื่องเงินๆ-ทองๆ เรื่องเงินเฟ้อ เรื่องข้าวของที่สุดจะแพงแสนแพงยิ่งเข้าไปทุกที ไปว่ากันเรื่องประเภทอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ กันดูมั่ง เพราะดังที่อดีตผู้นำแรงงานอเมริกัน “ยูจีน วิคเตอร์ เด็บส์” (Eugene Victor Debs) ท่านเคยเตือนๆ เอาไว้นับเป็นร้อยๆ ปีที่แล้วนั่นแหละว่า... “ไม่เร็วก็ช้า...สงครามการค้าในทุกๆ ครั้ง ย่อมหนีไม่พ้นต้องกลายเป็นสงครามเลือดจนได้” อะไรประมาณนั้น...
และเผอิญว่าช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี้...ประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลก โดยเฉพาะในด้านการทหารอย่างคุณพ่ออเมริกาท่านก็เริ่มออกอาการ “ประสาท” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ต่อกรณีที่มี “ข่าวล่า-มาเรือ” เผยแพร่ออกมาจากหนังสือพิมพ์ “The Financial Times” ว่าประเทศมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนนั้น ได้ประสบความสำเร็จในการทดสอบ ทดลอง อาวุธร้ายแรงชนิดใหม่ ไปเมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา นั่นก็คืออาวุธประเภท “Hypersonic” หรืออาวุธประเภทที่มีความเร็วเหนือเสียงประมาณ 5 เท่าเป็นอย่างน้อย แต่ที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือมันไม่ใช่แค่ “Hypersonic” ที่แล่นเลื้อยไป-มาภายใต้บรรยากาศของโลกแต่เพียงเท่านั้น แต่เป็น “Hypersonic” ที่ถูกยิงออกไปนอกโลก นอกอวกาศ แล้วค่อยๆ โคจรรอบโลก ก่อนที่จะหย่อนตัวลงมาทิ้งระเบิดใส่หัวใครต่อใครที่อยู่ในโลกได้แบบสบายๆ หรือถือเป็น “การทิ้งระเบิดจากส่วนวงโคจร” (Fractional orbital bombardment-FOB) เอาเลยถึงขั้นนั้น...
คืออาวุธอย่าง “Hypersonic” นั้น...คงต้องถือเป็นอาวุธที่อาจทำให้เกิดการ “เปลี่ยนเกม” หรือ “เปลี่ยนสถานะดุลอำนาจ” ของบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลาย อยู่พอสมควรเหมือนกัน หรืออย่างที่วุฒิสมาชิกรีพับลิกัน แห่งรัฐเวอร์จิเนีย “นายAngus King” แกได้ให้คำอรรถาธิบายเอาไว้ประมาณว่า... “คืออาวุธทางยุทธศาสตร์ที่สามารถเปลี่ยนเกม ด้วยการอาศัยศักยภาพที่อาจทำลายขีดความสามารถขั้นพื้นฐานทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามได้” อะไรประมาณนั้น หรือด้วยการอาศัยความเร็ว-ความแม่นยำ-ความสามารถในการหลบหลีก-ความสามารถในการเดินทาง-พิสัยทำการ ชนิดระบบป้องกันภัยทางอากาศ หรือระบบต่อต้านจรวดของฝ่ายตรงข้าม มิอาจทำอะไรได้เลย ความพยายามประดิษฐ์คิดค้นอาวุธร้ายๆ เหล่านี้ จึงเป็นตัวส่งผลให้อาวุธร้ายๆ ยุคก่อนๆ เดิมๆ อย่าง “ขีปนาวุธข้ามทวีป” หรือ “Intercontinental Ballistic Missiles” เป็นอะไรที่ “เชยซ์ซ์ซ์” ไปโดยทันที...
หลังๆ นี้...ไม่ว่าจะเป็นคุณพี่จีน คุณน้ารัสเซีย หรือคุณพ่ออเมริกา จึงค่อนข้างหันมาให้ความสนใจกับอาวุธชนิดนี้เอามากๆ โดยเฉพาะคุณน้ารัสเซียนั้น ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านถึงกับเคยออกมาคุยโวเอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ ว่า “Hypersonic” ของรัสเซียที่เรียกๆ กันว่า “Avangard” นั้น เป็น “อาวุธที่ไม่มีใครต่อต้านได้” ด้วยอัตราความเร็วที่เหนือเสียงเกินไปกว่า 5 เท่า โดยจะเป็น 6 เท่า 7 เท่า หรือกี่เท่าต้องไปสืบค้นกันเอาเอง ซึ่งส่งผลให้คุณพ่ออเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” ต้องออกมาเกทับ-บลัฟแหลก ว่า “Hypersonic” ของอเมริกา ที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า “Super Duper Missile” นั้น เร็วกว่าเสียงไปถึง 17 เท่า เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนคุณพี่จีนที่มี “Hypersonic” อย่าง “DF-17” หรือ “ตงเฟิง-17” ติดไม้-ติดมือ ติดปลายนวมและค่อยๆ ยกระดับพัฒนาจนกลายเป็น “ตงเฟิง” ไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่เข้าไปแล้ว เมื่อถึง ณ ขณะนี้ แต่ที่ยิ่งน่าเกลียด น่ากลัว เข้าไปใหญ่ ก็คือการที่ไม่ต้องเสียเวลาแล่นไป-แล่นมา หลบหลีกเรดาร์ในภาคพื้นดินอีกต่อไป แต่ถูกยิงโด่งไปบนอวกาศโน่นเลย หรือกลายสภาพไปเป็นดังที่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธบางรายให้คำอธิบายเอาไว้ว่า “คือกระสวยอวกาศที่ไม่ต้องมีล้อลงจอด แต่สามารถบรรทุกอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในช่องเก็บสัมภาระ แล้วเดินทางกลับสู่โลก ณ จุดหนึ่ง จุดใด แบบเครื่องร่อนทั้งหลาย” หรือถึงขั้นทำให้ประธานเสนาธิการทหารคนปัจจุบันของอเมริกา อย่าง “พลเอกมาร์ค มิลลีย์” (Mark Milley) ต้องออกมาเปรียบเทียบ เปรียบเปรย เอาไว้ประมาณว่า... “การทดลองอาวุธของจีนคราวนี้ ถือเป็นฉากเหตุการณ์พอๆ กับสถานการณ์ปี ค.ศ. 1957 หรือสถานการณ์ช่วงที่โซเวียตรัสเซียสามารถแซงหน้าอเมริกา ในการส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรของโลกเป็นครั้งแรก...”
นี่...ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นจริง-เป็นจังไปตามนี้ ก็คงไม่ถือเป็นเรื่องแปลก ที่ไม่ว่าระดับประธานเสนาธิการทหารอเมริกา วุฒิสมาชิกในคณะกรรมาธิการทหาร ตลอดไปจนถึงประธานาธิบดีอเมริกัน จึงต้องออกอาการ “ประสาท” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ในขณะที่คุณพี่จีน โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศได้ออกมาย้ำแล้ว ย้ำเล่า อย่างเป็นทางการ ว่าจีนยังไม่คิดจะไปไกลถึงขั้นนั้น การทดสอบ ทดลอง ในช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา เป็นเพียงแค่การส่ง “ยานอวกาศ” ขึ้นไปสู่วงโคจรแบบธรรมดาๆ เท่านั้นเอง และการที่บรรดาเจ้าหน้าที่ระดับสูงของอเมริกาออกมาแสดงอาการหวาดผวา กันอย่างเป็นทางการและเป็นกิจการเช่นนี้ ทำให้หัวหน้ากองบรรณาธิการ “Global Times” อย่าง “นายHu Xijin” จึงให้ข้อสรุปเอาไว้ในข้อเขียน บทความของตัวเองเมื่อไม่กี่วันมานี้ประมาณว่า “อเมริกา...คือประเทศที่ประสาท!!! ที่สุดในโลก” อะไรประมาณนั้น...
คือไม่ว่าจีนจะมีอาวุธ “Hypersonic” ระดับ “FOB” หรือระดับสามารถหย่อนระเบิดนิวเคลียร์จากส่วนของวงโคจร หรือรัสเซียจะมี “Avangard” หรือ “อาวุธที่ไม่มีใครต่อต้านได้” เอาไว้ในมือหรือไม่ อย่างไร ก็ตาม อันที่จริงคงไม่น่าหนักใจเท่ากับการที่อภิมหาอำนาจคู่แข่งทั้งสองประเทศที่ว่านี้ ได้หันไปร่วมมือ-ร่วมไม้กันในทางทหาร อย่างแน่นเหนียว หนึบหนับ ชนิดไม่อาจหาทางแยกออกจากกันได้เลย อันเป็นฉากสถานการณ์ที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองทัพอเมริกันเอง เคยออกมาสารภาพว่าเป็นฉากสถานการณ์ที่กองทัพอเมริกาไม่เคยเจอมาก่อนเลย ในอันที่จะต้องรับมือ หรือต้องเผชิญหน้า กับคู่แข่งทางทหารที่มีศักยภาพไม่น้อยไปกว่ากันมากมายสักเท่าไหร่พร้อมๆ กันทั้งสองด้าน และนั่นเอง...ที่ทำให้กองทัพอเมริกาไม่อยู่ในสถานะที่จะรับมือกับฉากสถานการณ์เช่นนี้ได้เลยแม้แต่น้อย มีแต่ต้องหันไปหาหนทางที่จะ “อยู่ร่วมโดยสันติ” กับทั้งสองมหาอำนาจให้จงได้เท่านั้นเอง ถึงจะถือเป็น “ทางออก” ที่ดีที่สุด...
ยิ่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...การผนึกกำลังในทางทหารของจีนและรัสเซีย ด้วยการเปิดปฏิบัติการซ้อมรบร่วมในเขตตะวันตกของแปซิฟิก ที่เรียกว่า “China-Russia Naval Interaction 2021” ยิ่งเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงพรึงเพริด กว่าการทดสอบ ทดลองอาวุธแต่ละชนิดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เพราะการเข็นเรือพิฆาต “Nanchang” ของจีน ออกมาแล่นคู่ไปกับเรือรบหลักของรัสเซียในทะเลญี่ปุ่นคราวนี้ ได้ประกาศเอาไว้ชัดว่า...ไม่เพียงแต่เป็นความร่วมมือเพื่อปกป้องภูมิภาคแปซิฟิกตะวันตกของ 2 ประเทศเท่านั้น แต่ยังเพื่อต่อต้านต่อแนวคิดเรื่องความร่วมมือตามสนธิสัญญา “AUKAS” ระหว่างอเมริกา-อังกฤษ-และออสเตรเลีย อย่างตรงไป-ตรงมา ซะอีกด้วย...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าจีนหรือรัสเซียจะมีอาวุธ “Hypersonic” ระดับไหนต่อระดับไหน เอาไว้ในมือหรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่ภายใต้ความร่วมมือ-ร่วมใจในทางทหารของทั้งสองประเทศ เพื่อหวังจะ “เปลี่ยนโลก” จากโลกแบบขั้วอำนาจเดียว ให้เป็นโลกแบบหลายขั้วอำนาจให้จงได้!!! ไม่ว่าจะเกิดการ “จุดชนวนสงคราม” ขึ้นมาในพื้นที่ใดๆ ก็แล้วแต่ โอกาสที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกา จะสามารถเอาชนะความร่วมมือ-ร่วมใจของมหาอำนาจคู่แข่งดังกล่าว แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย แม้แต่ความพยายาม “ยั่วยวนกวนส้นตีน” คุณพี่จีนในบริเวณช่องแคบไต้หวัน หรือเกาะแก่งต่างๆ แถวๆ ญี่ปุ่นก็แล้วแต่ ถึงขั้นที่ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัย “Harvard Kenny School” อย่าง “Graham Allison” ที่ได้ร่วมกับอดีตรองประธานเสนาธิการทหารอเมริกัน “James Winnefeld” และอดีตผู้อำนวยการซีไอเอ “Michael Morell” ประเมินออกมาเป็นข้อสรุปเมื่อไม่กี่วันมานี้ อย่างชนิดเห็นพ้องต้องกันระดับถือเป็น “Ugly Reality” หรือเป็นความจริงที่น่าเกลียด น่ากลัว เอาเลยก็ว่าได้ ประมาณว่า...โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดทางทหารอย่างอเมริกา มีแต่จะ “แพ้...กับ...แพ้” ย่อมมีความไปได้สูงเอามากๆ!!!