ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องหันไปว่ากันเรื่อง “เบาๆ” เพื่อไม่ให้ต้องเสียเวลาเก็บไปคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ อันเป็นช่วงที่พอได้พักผ่อน รีแลกซ์กันไปตามสภาพ โดยระหว่างนี้คงไม่มีอะไร “เบา” ไปกว่าการลองตามไปสำรวจตรวจสอบ ความคิด-ความเห็น ของบรรดา “อเมริกันชน” ทั้งหลายเขานั่นแหละ ที่ชักจะเริ่มรู้สึก รู้สา ถึงบทบาทผู้นำประเทศตัวเอง ซึ่งเคยออกอาการหนักไปทางคุณน้อง “หนึ่ง จักรวาล” อยู่บ้างเล็กๆ-น้อยๆ คือประเภทมือ-ไม้ออกจะสะเปะ สะปะ แตะโน่น แตะนี่ จนเคยได้ชื่อ ฉายา ว่า “Creepy Joe” หรือ “โจ วิตถาร” มาแล้วก่อนหน้านี้...
แต่แม้ว่าจะพยายามปรับสภาพตัวเอง เก็บมือ-เก็บไม้ ไม่หันไปจับโน่น จับนี่ จนกลายสภาพจาก “โจ วิตถาร” มาเป็น “โจ ซึมเซา” หรือ “Sleepy Joe” ก็แล้วแต่ แต่ตลอดช่วงประมาณ 9 เดือนที่ผ่านมา หรือหลังจากผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีอเมริกันได้สักพักใหญ่ๆ อันถือเป็นช่วงที่มักเรียกๆ กันว่า “ฮันนีมูน พีเรียด” อะไรประมาณนั้น ปรากฏว่า...แทนที่บรรดาอเมริกันชนยังน่าจะรู้สึกวาบหวาม ดื่มด่ำ หวานแหวว ฯลฯ ต่อผู้นำประเทศที่ตัวเอง “เลือกตั้ง” มากับมือ ตามระบอบประชาธิปไตยแม่แบบ หรือประชาธิปไตยฉบับอเมริกา ผลสรุปที่ถูกเผยแพร่ออกมา ตามการสำรวจและวิจัยของสำนักโพลชื่อดังในอเมริกา คือสำนัก “Grinnell College National Poll” คราวล่าสุด ที่เริ่มทำการสำรวจตั้งแต่วันที่ 13-17 ตุลาคมที่ผ่านมา กลับเป็นอะไรที่น่าตกตะลึงพรึงเพริด น่า “ผงะ” เอามากๆ!!!
คือสรุปว่า...ความคิด-ความเห็น ของบรรดาอเมริกันชนที่มีต่อ “ผู้นำ” ตัวเอง ออกอาการ “ตกต่ำ” แบบชนิดรูดมหาราช อย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือต่ำที่สุดกว่าประธานาธิบดีทุกๆ ประธานาธิบดี นับตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เอาเลยถึงขั้นนั้น จากที่เคย “สอบผ่าน” เคยมี “คะแนนนิยม” ขึ้นไปถึงระดับ 56 เปอร์เซ็นต์ก่อนหน้านั้น กลับดิ่งเหวลงมาเหลือแค่ประมาณ 44.7 เปอร์เซ็นต์ ลดฮวบๆ ฮาบๆ ลงไปถึง 11.3 เปอร์เซ็นต์ หนักกว่าทุกๆ ประธานาธิบดีเท่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้ เรียกว่า...แม้แต่ยุค “โอมาบ้า” (โอบามา) ที่เคยออกมาป่าวประกาศว่าจะ “เชนจ์” อะไรต่อมิอะไร จนทำให้เกิดความหวัง ความฝัน ต่ออเมริกันชนกันเป็นจำนวนไม่น้อย แต่พอ 9 เดือนผ่านไปแล้ว กลับไม่ได้ “เชนจ์” อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย อันนำมาซึ่งความผิดหวัง สิ้นหวัง จนคะแนนนิยมตกต่ำลงมาถึง 10.1 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ยังดีกว่าผู้นำอย่าง “โจ ซึมเซา” ที่รูดมหาราชลงไปถึง 11.3 เปอร์เซ็นต์ ดังที่กล่าวไปแล้ว...
หรือแม้แต่ “ทรัมป์บ้า” แม้แต่ “คลินตัน” ช่วงที่ต้องรูดๆ ลงมา ก็ยังรูดแค่ประมาณ 4.4 เปอร์เซ็นต์และ 6.5 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ แต่สำหรับ “ผู้เฒ่าโจ” หรือ “โจ ซึมเซา” นี่สิ!!! กลับรูดลงมาชนิดถลอกปอกเปิกเอามากๆ ด้วยเหตุที่พอจะสรุปกันโดยคร่าวๆ ว่า น่าจะหนีไม่พ้นไปจากเรื่องความเหยาะแหยะ หยำเหยอะ ในกรณีการถอนทหารอเมริกันออกจากประเทศอัฟกานิสถาน ชนิดหนียะย่าย พ่ายจะแจ เสียรูป เสียรังวัด เสียมวย และเสียสุนัข(หมา)เอามากๆ ไม่เพียงแต่ในสายตาของชาวอเมริกันทั้งหลาย แต่ยังลามไปถึงชาวยุโรป หรือกระทั่งชาวโลกอีกด้วย ตลอดไปจนเรื่องวิกฤตชายแดนกรณีผู้อพยพที่ถูกไล่ถีบ ไล่กระทืบ แบบชนิดน่าเกลียด น่าทุเรศ มิใช่น้อย รวมทั้งเรื่องการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังทำให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ยังคงครองตำแหน่ง “แชมป์โรค” อย่างมิอาจมีใครแย่งชิง หรือเบียดแซง ได้เลยแม้แต่น้อย...ฯลฯ...
แต่นั่น...อาจไม่ใช่สาเหตุทั้งหมด ทั้งมวล ที่ทำให้บรรดาอเมริกันชน เกิดความรู้สึกหดหู่ ห่อเหี่ยว ต่อผู้นำประเทศตัวเอง เพราะถ้าลองสำรวจตรวจสอบ ย้อนหลังกันไปตามลำดับ น่าจะเห็นได้ชัดเจนพอสมควร ว่าความหดหู่ ห่อเหี่ยว ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ไม่ได้มีแต่เฉพาะตัว “ผู้นำ” ล้วนๆ หรือแต่ตัว “บุคคล” โดยลำพังเท่านั้น แต่ยังเป็นความหดหู่ ห่อเหี่ยว ที่มีต่อ “ระบบ” ทั้งระบบเอาเลยก็ว่าได้ หรือต่อ “ระบอบประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกัน” นั่นเอง!!! โดยไม่ว่าจะดูจากผลสำรวจ วิจัย ของ “Quinnipiac Poll” เมื่อช่วงต้นปี หรือช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แทบไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่าบรรดาอเมริกันชนถึง 70 เปอร์เซ็นต์ หรือแทบทั้งหมดของประเทศ ต่างแสดงออกถึงความไม่เชื่อ-ไม่มั่นใจ ในระบอบการเมืองแบบประชาธิปไตยอเมริกา หรือต่างเห็นว่าความเป็นประชาธิปไตยของอเมริกาตกอยู่ภายใต้การคุกคาม จนแทบไม่เหลือความเป็นประชาธิปไตยแบบชนิดทาก็ได้ ดมก็ได้ ผัวดม-เมียหาย พ่อตาทา-แม่ยายฟื้น แบบเก่าๆ เดิมๆ อีกต่อไปแล้ว...
และแม้แต่การสำรวจคราวล่าสุดของ “Grinnell Poll” ก็ตาม...ก็ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงอารมณ์-ความรู้สึกในลักษณะดังกล่าว ไม่ว่าในหมู่ชาวรีพับลิกัน หรือเดโมแครต คือความรู้สึกไม่เชื่อ-ไม่มั่นใจ ต่อความเป็นประชาธิปไตยภายในประเทศตัวเองที่พุ่งขึ้นสูงไปถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งถ้าไปดูโพลของ “University of Virginia Center for Politics” เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม ยิ่งน่าตกตะลึงพรึงเพริด ยิ่งขึ้นไปใหญ่ ที่สรุปเอาไว้ถึงขั้นว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของชาวรีพับลิกัน และ 41 เปอร์เซ็นต์ของชาวเดโมแครต ถึงขั้นคิดจะ “แยกประเทศ” แยกบ้าน แยกเมือง ออกเป็นประเทศแดง ประเทศน้ำเงิน ให้รู้แล้ว รู้แรด หรือให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว กันไปซะที!!!
พูดง่ายๆ ว่า...ด้วยความตกต่ำ เสื่อมโทรม ของระบอบประชาธิปไตยอเมริกันทั่วทั้งระบบนั่นแหละ ชนิดที่ถึงกับทำให้นักคิด นักวิชาการ นักวิจัยแห่งภาคสังคมวิทยา มหาวิทยาลัย “Durham” ในอังกฤษ อย่าง “ดร.ลิซา แมคเคนซี” (Dr.Lisa McKenzie) ถึงกับสรุปไว้ก่อนหน้านี้ประมาณว่า... “ประชาธิปไตยอเมริกา คือประชาธิปไตยแห่งการโกหกและหลอกลวง” กลายเป็นตัวการสำคัญ ที่ทำให้ไม่ว่า “ผู้นำ” รายใดก็แล้วแต่ ต่างหนีไม่พ้นต้องเผชิญกับความเสื่อมโทรม ตกต่ำ ตามไปด้วย แบบชนิดรวดเร็วเอามากๆ หรือทำให้เพียงแค่ 9 เดือนเท่านั้นเอง ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ก็ดันสอบไม่ผ่าน คะแนนนิยมต้องร่วงลงไปถึง 11.3 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียงแค่ 44.7 เปอร์เซ็นต์ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย...
ภายใต้ “ความเสื่อม” ในลักษณะนี้นี่เอง...ที่น่าจะยิ่งทำให้ความหวัง ความฝัน ของผู้นำอเมริการายใหม่ ที่หวังจะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นี่เอง ในการแบ่งโลก แยกโลก ออกเป็น 2 ส่วน 2 ค่ายแบบเดิมๆ หรือแบบยุค “สงครามเย็น” คราวที่แล้ว คือเป็นโลกประชาธิปไตยกับโลกที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย เหมือน “โลกเสรี” กับ “โลกคอมมิวนิสต์” อะไรประมาณนั้น น่าจะยิ่ง “ไม่เวิร์ค” หรือไม่น่าจะส่งผลอย่างที่เคยเป็นมาเมื่อครั้งอดีต แม้จะมีความพยายามจัดประชุม “Democracy Summit” ในช่วงปลายปีนี้ ให้ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหนก็เถอะ...
หรือพูดง่ายๆ ว่า...ความเป็นประชาธิปไตยในทุกวันนี้ มันชักไม่ได้เป็นสิ่งที่ขายได้-ขายดี แบบยุคก่อนๆ ต่อไปอีกแล้ว โดยเฉพาะภายใต้สภาพปัญหาของ “โลกยุคใหม่” ที่นับวันจะสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าปัญหาการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร ความขาดแคลนทรัพยากร ปัญหาความเหลื่อมล้ำและช่องว่างระหว่างความรวย-ความจน โลกรวย-โลกจน ที่นับวันยิ่งถ่างกว้างยิ่งเข้าไปทุกที ไปจนปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศ ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่ก่อให้เกิดความไม่สมดุลภายในแต่ละสังคม ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาที่ต้องอาศัยความหลากหลายและลักษณะพิเศษในสังคมนั้นๆ ค่อยๆ แก้ ค่อยๆ คลี่คลาย กันไปตามสภาพ...
การยอมรับถึงความหลากหลายเหล่านี้ และการหาทางอยู่ร่วมกันโดยสันติให้จงได้ จึงถือเป็นบรรทัดฐาน หรือมาตรการขั้นพื้นฐาน ที่อาจพอช่วยประคับประคองให้โลกทั้งโลกสามารถเดินหน้าต่อไปได้ด้วย “สันติภาพ” ไม่ใช่ด้วยการอาศัยมาตรฐานใด-มาตรฐานหนึ่งมาเป็นตัวกำหนด ไม่ว่าจะเรียกขานกันในนามประชาธิปไตยหรือไม่ เพียงใด ก็แล้วแต่ อันมีแต่อาจนำมาซึ่ง “สงคราม” กันในขั้นตอนสุดท้ายจนได้...