ไหนๆ ก็ใกล้ๆ จะได้เวลาเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ อีกไม่กี่วันนับจากนี้...สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่เรื่องของการ “อดตาย” ชักเป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งกว่าการ “ป่วยตาย” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ยิ่งเข้าไปทุกที ดังนั้น...ประเทศเล็กๆ ที่ต้องพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยว จากการรับจ้างผลิตชิ้นส่วนต่างๆ หรือจาก “เศรษฐกิจโลก” นั่นแหละเป็นหลัก เลยหนีไม่พ้นต้องแง้มประตู แง้มหน้าต่าง ต้องเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...
ด้วยเหตุนี้...วันนี้ ก็น่าจะลองหาช่วง หาจังหวะ ไปสำรวจตรวจสอบ ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลกกันดูสักนี๊ดๆ โหน่ยๆ ว่าจะยังมีสุขภาพแข็งแกร่ง แข็งแรง หรือจะป่วย จะไข้ ไปแล้วถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน โอกาสที่จะเกิดการทะลักหลั่งพรั่งพรูของบรรดา “นักท่องเที่ยว” เข้ามาสู่ประเทศไทย แบบชนิด “สมพรปาก” ตามแรงยุ แรงเชียร์ ของนักแสดงหนังฮอลลีวูด อย่างคุณน้า “รัสเซลล์ โครว์” หรือไม่ เพียงใด อันนี้...ก็คงขึ้นอยู่กับความเป็นไปของ “เศรษฐกิจโลก” นั่นแหละทั่น!!! ว่ามันจะยังคงปวกๆ เปียกๆ หรือโด่ไม่รู้ล้ม กันในแบบไหน ในลักษณะไหน เป็นสำคัญ...
โดยถ้าว่ากันแบบกว้างๆ รวมๆ แล้ว...หลายต่อหลายอย่างมันน่าจะออกไปทาง “ข่าวร้าย” มากกว่า “ข่าวดี” อยู่ไม่น้อยทีเดียว หรือโดยรวมๆ ถ้าว่ากันตามการประเมิน ประมาณการขององค์กรเศรษฐกิจโลกระดับ “IMF” จากที่เคยคิดๆ เอาไว้ว่าเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกในปีนี้ น่าจะโตได้ประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย ก็หนีไม่พ้นต้อง “ปรับลด” ตัวเลขลงมาประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถ้าคิดเป็นมูลค่าจำนวนเงินก็ระดับไม่รู้กี่พันกี่หมื่นล้านดอลลาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น คือเหลือแค่ประมาณ 5.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง และประเทศที่ถูกปรับลดตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลงมาค่อนข้างหนักที่สุด หรือรุนแรงที่สุด คงหนีไม่พ้นไปจากประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 อย่างคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ที่ถูกปรับลดจาก 7 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลือแค่ 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง หรือลดไปถึง 1 เปอร์เซ็นต์แบบเนื้อๆ เน้นๆ แต่ก็ยังถือเป็นโชคดีที่ประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก อย่างคุณพี่จีน ไม่ถึงกับถูกปรับลดลงไปมากมายสักเท่าไหร่ คือลดจาก 8.1 เปอร์เซ็นต์ ลงมาเหลือแค่ 8 เปอร์เซ็นต์ หรือลดแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์...
แต่ก็นั่นแหละ...แม้จะลดกันแค่ 0.1 เปอร์เซ็นต์ ก็เล่นเอาโลกทั้งโลก อดที่จะ “หูแหก-ตาแหก” กันไปมิใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง “ไตรมาส 3” ของจีนอย่างเป็นทางการ ที่มันหล่นจาก 7.9 เปอร์เซ็นต์ในช่วงไตรมาส 2 ลงมาเหลือแค่ 4.9 เปอร์เซ็นต์ หรือหล่นลงมาถึง 3 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งถ้าไปเทียบกับไตรมาสแรกที่เคยพุ่งกระฉูดแบบชนิดโด่ไม่รู้ล้ม คือเคยขึ้นไปถึง 18.3 เปอร์เซ็นต์ ก็ยิ่งเป็นอะไรที่ “น่าใจหาย” สำหรับบรรดาผู้ที่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจโลก อย่างมิอาจปฏิเสธได้ ทั้งนั้น ทั้งนี้...ก็เนื่องมาจากสาเหตุหลักๆ อยู่ประมาณไม่กี่ตัว ไม่กี่ประการ อย่างที่พอรู้ๆ หรือ “รู้แล้ว-รู้แล้ว” มาเป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ เช่น ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ถ่านหิน น้ำมัน และแก๊ส ในการเอามาผลิตไฟฟ้าให้กับโรงงาน บริษัทธุรกิจ ในมณฑลต่างๆ เกือบ 20 มณฑลในเมืองจีน อันลุกลามไปสู่การเกิดอุปสรรค ชะงักงันต่อบรรดาบริษัทธุรกิจประเภท “ห่วงโซ่อุปทาน” หรือ “Supply chain” ทั้งหลาย การตกอยู่ในสภาพ “ไม่มี-ไม่หนี-ไม่จ่าย” ของบริษัทอภิมหาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อย่าง “Evergrande” ที่มีหนี้สินระดับแสนๆ ล้านดอลลาร์ หรือเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีประเทศจีน ไปจนถึงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ในบางเขต บางพื้นที่ ที่ยังไม่ถึงกับ “เหลือศูนย์” อย่างที่ทางการจีนเขาตั้งความปรารถนาและต้องการเอาไว้....ฯลฯ...
แต่โดยรวมๆ แล้ว...ความตกต่ำทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 2 ของโลก อย่างคุณพี่จีนนั้น ก็ยังไม่ถึงกับหนักหนา-สาหัสมากมายสักเท่าไหร่ หรืออย่างที่สื่อทางการของจีน “Global Times” เขาคุยว่า เขายังมี “เครื่องมือ” อีกเยอะ ในการทำให้ความเป็นไปทางเศรษฐกิจของเขากลับมาสู่สภาพปกติ หรือยังสามารถ “New Normal” ไปได้อีกไกลแสนไกล อีกหลายยุค หลายสมัย แต่สำหรับประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับ 1 อย่างคุณพ่ออเมริกาของหมู่เฮานี่สิ!!! ไม่ว่าจะมองกันในระดับกว้างๆ รวมๆ หรือมองกันในระดับลึกๆ แบบลึกลงไปถึงลำไส้ หรือลึกไปถึงริดสีดวงทวารก็แล้วแต่ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า...ออกจะเป็นอะไรที่น่าห่วงน่ากังวล น่าเกลียดน่ากลัว โดยเฉพาะต่อ “ผลกระทบ” ต่างๆ นานา ที่อาจลุกลามมาสู่โลกทั้งโลก จนอาจมีแต่ต้อง “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” กันไปเป็นแถบๆ...
คือเท่าที่เห็นๆ กันแบบชัดๆ ถนัดตา...ก็คงหนีไม่พ้นไปจากการขาดแคลนพลังงาน ขาดแคลนสินค้าจำเป็นสำหรับการอุปโภคบริโภค ไปในแทบทุกเรื่อง ทุกประการ ชนิดส่งผลให้ “ภาวะเงินเฟ้อ” ในอเมริกาทุกวันนี้ พุ่งขึ้นไปถึง 5.4 เปอร์เซ็นต์ หรือสูงสุดในรอบระยะ 13 ปี เอาเลยถึงขั้นนั้น เกิดปัญหาระดับ “วิกฤต” นานาประการ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตแรงงาน วิกฤตการรับ-ส่งสินค้าห่วงโซ่อุปทาน วิกฤตการขาดดุลงบประมาณ ไปจนถึงวิกฤตหนี้สิน ฯลฯ ที่แทบหาทางออก-ทางไป กันไม่เจอเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะในระยะสั้น หรือระยะยาว ก็แล้วแต่...
แม้ว่าผู้นำยุคใหม่ที่พยายามประคับประคองความกระปรี้กระเปร่าของตัวเองด้วยการ “ฉีดสเตียรอยด์” เข็มแล้ว เข็มเล่า อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านพยายามพลิกฟื้น “ความเชื่อมั่น” ของบรรดาอเมริกันชน หรือของชาวโลกไปพร้อมๆ กัน ด้วยการ “Build Back Better” หรือด้วยอะไรต่อมิอะไรก็ตามที เช่น การคิดจะฟื้นฟู บูรณะ เศรษฐกิจอเมริกา ด้วยเม็ดเงินลงทุนด้วยงบประมาณจำนวนไม่ต่ำกว่า 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ แต่แค่เจอกับ “คำถาม” ของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ระดับ “กูรู-กูรู้” อย่างเช่น “นายArthur Betz Laffer” อดีตที่ปรึกษาเศรษฐกิจยุค “โรนัลด์ เรแกน” ที่ไปพูด ไปตั้งคำถาม ในรายการทีวีระหว่างการสนทนาเรื่องราวทางเศรษฐกิจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ว่า...แล้วจะเอา “เงิน” มาจากไหน??? แค่นี้...ก็ตายแล้ว!!! เพราะโดยความคิด ความเห็น ของ “นายLaffer” นั้น ถ้ามองกันในทาง “ทฤษฎี” ที่ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นซ้าย-เป็นขวา เป็นเดโมแครต หรือรีพับลิกันใดๆ ก็แล้วแต่ โอกาสที่จะหาเงินจำนวนนี้มาอัด มาฉีด มาฟื้นฟูอะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ มีแต่จะยิ่งก่อให้เกิดความเลวร้ายต่อระบบเศรษฐกิจอเมริกา ไม่เว้นแม้แต่ต่อสถานะการเมืองของสมาชิกพรรคเดโมแครต ต่อคนยาก-คนจน ต่อระบบการศึกษา หรือต่ออเมริกันชนทุกๆ รายภายในประเทศ...
นี่...ต้องเรียกว่า หนักหนา-สาหัสกันไปถึงขั้นนั้น!!! คือด้วยเหตุเพราะ “ปริมาณหนี้สิน” ระดับเกือบ 30 ล้านล้านดอลลาร์หรือระดับสูงสุดเท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์อเมริกาและประวัติศาสตร์โลกเอาเลยก็ว่าได้ มันได้กลายเป็น “ปัญหา” หรือเป็นตัว “จำกัด” ทุกสิ่งทุกอย่าง ชนิดทำให้สถานะของ “จักรวรรดิอเมริกา” ทุกวันนี้ มีสภาพแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “ประเทศในโลกที่ 3” หรือบรรดาประเทศด้อยพัฒนา กำลังพัฒนาทั้งหลายในโลกนี้เอาเลยก็ว่าได้ ตามความคิด ความเห็นของ “นายLaffer” และแนวความคิดที่จะไปเก็บภาษีจากคนรวย หรือไป “ขึ้นภาษี” คนรวย เพื่อเอามาใช้หนี้ หรือเอามาลงทุนในรูปแบบต่างๆ กลับอาจก่อให้เกิดการลดแรงจูงใจในการเสียภาษี หรือเกิดการเลี่ยงภาษี การย้ายฐานการลงทุน ไปยังที่ใหม่ๆ ตามความลื่นไหลของกระแสโลกาภิวัตน์ ที่มีแต่กลับจะส่งผลเสียให้กับระบบเศรษฐกิจอเมริกาหนักขึ้นไปใหญ่ หรือทำให้ปัญหาการ “ขาดดุลงบประมาณ” ที่แก้ไม่ได้มาโดยตลอด ยิ่งแก้ยาก แก้เย็น ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น มีแต่ต้องเพิ่มหนี้ เพิ่มสิน ต้องกู้แล้ว กู้เล่า ต้องออกพันธบัตร แบบชนิดกู้หนี้มาใช้หนี้ ไม่ต่างไปจาก “แชร์ลูกโซ่” จนส่งผลให้ “เงินดอลลาร์” ใกล้จะมีสภาพเป็น “กระดาษเช็ดก้น” ยิ่งเข้าไปทุกที...ฯลฯ
เพราะทุกวันนี้...ต้องยอมรับว่าประเทศอย่างอเมริกานั้น ได้สูญเสียความเป็นผู้ผลิตในด้านต่างๆ มานานแล้ว เห็นได้จากแค่เจอ “วิกฤตห่วงโซ่อุปทาน” ซึ่งกำลังเกิดขึ้นขณะนี้ ชนิดเรือขนส่งสินค้านับพันๆ ลำต้องลอยเรือเท้งเต้งอยู่ในอ่าวด้านตะวันตก ตะวันออก ของอเมริกา ด้วยเหตุเพราะท่าเรือต่างๆ ไม่พร้อมที่จะรับ-ส่งสินค้า จะด้วยเพราะขาดแคลนแรงงาน ขาดคนขับรถบรรทุกขนส่งสินค้า ขาดการบริหาร-จัดการในการคิดค่าระวางสินค้าซึ่งผันแปรชนิดวันแล้ว-วันเล่า ฯลฯ หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ จนทำให้บรรดาชิ้นส่วนในการนำเอามาประกอบเป็นสินค้าแต่ละชนิด ไม่ว่าอุตสาหกรรมแปรรูป เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ไปถึงรถยนต์เป็นคันๆ ฯลฯ ต่างเจอกับ “ปัญหา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ชั้นวางสินค้าต่างๆ หายเกลี้ยงไปก่อนวันคริสต์มาสจะมาถึง ระดับราคาสินค้าที่แพงขึ้นๆ จึงเป็นตัวขับเคลื่อนให้ภาวะเงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปถึง 5.4 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น...ความพยายามที่จะฟื้นฟู บูรณะ อเมริกา แบบ “Build Back Better” ด้วยการทุ่มเทงบประมาณจำนวนถึง 3.5 ล้านล้านดอลลาร์ จึงถูกขอร้อง เรียกร้อง จาก “กูรูทางเศรษฐกิจ” ของอเมริกาเอง อย่าง “นายLaffer” ประมาณว่า...