xs
xsm
sm
md
lg

เงินเฟ้ออเมริกา...ไม่ใช่แค่ภาวะชั่วคราว???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


แจ๊ค ดอร์ซีย์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของทวิตเตอร์
วันนี้...สงสัยคงต้องชวนแวะไปดู “ภาวะเงินเฟ้อ” ในประเทศอเมริกา หรือใน “อารมณ์-ความรู้สึก” ของบรรดาอเมริกันชนเขาไว้สักหน่อย เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา หรือเมื่อช่วงคืนวันศุกร์ (22 ต.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง ขนาดระดับผู้บริหารของบริษัทเครือข่ายสื่อสารระดับยักษ์อย่าง “ทวิตเตอร์” ที่เคย “เซ็นเซอร์” ใครต่อใคร เช่น วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกันเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา หาว่าได้โพสต์ข้อความซึ่งอาจสร้างความ “อ่อนไหว” ให้กับเศรษฐกิจอเมริกา แต่ปรากฏว่าตัว “นายแจ๊ค ดอร์ซีย์” (Jack Dorsay) ซีอีโอของ “ทวิตเตอร์” เองนั่นแหละ!!! กลับออกมาสร้างความตะลึงพรึงเพริด ให้กับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ในเรื่อง “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่กำลังพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาบ้านแต่ละบ้านในประเทศคุณพ่ออเมริกาตราบเท่าทุกวันนี้...

คือถึงขั้นออกมาโพสต์ข้อความประมาณว่า...มันมาแล้ว-มันมาแน่!!! อะไรทำนองนั้น สำหรับ “ภาวะเงินเฟ้อ” ในระดับ “Hyperinflation” ทั้งในอเมริกาและในระดับโลก แถมอาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่น่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยองพองขน เอาเลยก็ไม่แน่ ดังข้อความสั้นๆ ที่ระบุเอาไว้ประมาณว่า... “ภาวะเงินเฟ้อสูงสุด กำลังคว้าจับเศรษฐกิจอเมริกาและเศรษฐกิจโลก...และมันกำลังจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง” โดยอะไรเป็นสาเหตุ เหตุผลเบื้องหลัง ของการออกมาโพสต์ข้อความทำนองนี้ เพื่อต้องการ “ปั่น” ราคาบิตคอยน์ ที่ตัวเองเล่นเอาไว้เยอะแยะมากมาย หรือด้วยความตกอก ตกใจ อย่างบริสุทธิ์ใจ อันนี้...คงต้องไปสืบหาเอาเองก็แล้วกัน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ส่งผลให้มีผู้นำเอาข้อความดังกล่าวเอาไปโพสต์ต่อเผยแพร่ต่อ จำนวนไม่ต่ำกว่า 20,000 ราย ส่วนที่เข้ามากดไลค์-กดไม่ไลค์ อีกไม่น้อยกว่า 66,000 ราย...

หรือไม่ว่าจะด้วยเหตุผล กลใด ก็แล้วแต่...อาการหูแหก-ตาแหก ของ “นายแจ๊ค ดอร์ซีย์” ออกจะมีน้ำหนักมิใช่น้อย ในการส่งผลต่ออารมณ์-ความรู้สึกของบรรดาอเมริกันชน ที่ต้องเจอกับตัวเลขภาวะเงินเฟ้อซึ่งพุ่งขึ้นไปถึงระดับ 5.4 เปอร์เซ็นต์ หรือระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี โดยเฉพาะเมื่อราคาสินค้า ข้าว-ของทุกอย่างมีแต่แพงขึ้นๆ ขณะราคาค่าเงินดอลลาร์ในกระเป๋ากุงเกงตัวเองมีแต่ลดลงๆ จนต้องเกิดการเอะอะ โวยวาย ไปแทบทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะราคาสินค้าอาหาร พลังงาน น้ำมันและแก๊ส การค้าและการบริการแทบทุกชนิด ฯลฯ มีแต่ต้องขึ้นราคาแบบขึ้นเอาๆ ยกเว้นแต่เฉพาะแค่ “ตั๋วเครื่องบิน” ไปโน่น มานี่ เท่านั้น ที่ยังคงรูดทะราดต่อไป เพราะไม่มีใครอยากท่องเที่ยว เดินทาง ไปนั่น มานี่ มากมายซักเท่าไหร่...

คือพูดง่ายๆ ว่า...ถึงขนาดที่บรรดาอเมริกันชนโดยส่วนใหญ่ แทบไม่เชื่อน้ำยา “รัฐบาลตัวเอง” หรือแม้แต่ “ธนาคารกลาง” อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะต่อความพยายามที่จะปลอบอก-ปลอบใจว่าภาวะดังกล่าว ถือเป็นเรื่องปกติ-ธรรมดา หรือเป็นแค่ภาวะชั่วครั้ง-ชั่วคราว แบบประเภท “Transitory” อะไรประมาณนั้น เพราะถ้าดูจากผลสำรวจความคิด ความเห็น ของหน่วยงานเอกชน อย่าง “University Michigan Survey of Consumers” คราวล่าสุด ก็น่าจะถือเป็นข้อพิสูจน์โดยชัดเจน ว่าบรรดาอเมริกันชนโดยส่วนใหญ่ เห็นว่า...งานนี้ น่าจะยาวว์ว์ว์ หรือน่าจะเฟ้ออ์อ์อ์กันไปเป็นปีๆ โดยหนีไม่พ้นที่บรรดาชาวอเมริกันทั้งหลาย ต้องหันมาปรับเนื้อ ปรับตัว ปรับจิต ปรับใจ กันไปตามสภาพ...

และด้วยการหันมาปรับเนื้อ ปรับตัว ปรับจิต ปรับใจ ไปตาม “อารมณ์-ความรู้สึก” ของบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายนี่เอง ที่กำลังก่อให้เกิดภาวะที่เรียกๆ กันว่า “The wage-price spiral” อุบัติขึ้นมาในสังคมอเมริกันอย่างเห็นได้โดยชัดเจน หรือภาวะที่ราคาสินค้าซึ่งแพงขึ้นๆ กลายเป็นตัวก่อให้เกิด “ผลกระทบ” ไปถึงราคาสินค้าในทุกๆ ประเภท และลุกลามไปสู่การก่อให้เกิดวัฏจักร วงจร ของการขึ้นค่าจ้าง ค่าแรง เพื่อหาทางยังชีพตัวเองให้พออยู่ได้ภายในสังคมที่ไม่ว่าแดง-ไม่แดง แต่ออกจะแพงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อะไรทำนองนั้น โดยอาจเป็นไปในแบบไม่มีที่สิ้นสุด หรือมิอาจควบคุมได้ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

เพราะอย่างภัตตาคาร ร้านค้า ร้านอาหาร ฯลฯ ในอเมริกาทุกวันนี้...จะไปจ่ายค่าแรง ค่าจ้าง แค่ประมาณ 13 ดอลลาร์ต่อชั่วโมงแบบก่อนๆ แทบเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ด้วยเหตุเพราะค่ากิน-ค่าอยู่ ค่าเช่าบ้าน ฯลฯ ของบรรดาลูกจ้าง พนักงาน ทั้งหลาย มันมีแต่แพงเอา-แพงเอา ยิ่งเข้าไปทุกที การปรับค่าแรง ค่าจ้าง ขึ้นไปเป็น 20 ดอลลาร์ต่อชั่วโมง จึงกลายเป็นสิ่งที่บรรดานายจ้างทั้งหลายมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงอีกต่อไปได้เลย และเมื่อต้องขึ้นค่าจ้าง ค่าแรง อันเป็นต้นทุนการผลิตโดยพื้นฐาน ก็เลยหนีไม่พ้นต้องหันมาขึ้นราคาสินค้าในแต่ละสิ่งแต่ละอย่าง หรือหันไปผลักภาระให้กับ “ผู้บริโภค” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้อีกเช่นกัน โดยเมื่อผู้บริโภคพยายามประคับประคองตัวเองให้อยู่รอด ภายใต้ภาวะราคาสินค้าที่แพงแล้ว แพงเล่า ก็เลยหนีไม่พ้นต้องหันมาเรียกร้องให้ขึ้นค่าจ้าง ค่าแรง วนไป-วนมาแบบแทบไม่มีที่สิ้นสุด หรือแทบควบคุมไม่ได้นั่นเอง...

ยิ่งเมื่อรัฐบาลพยายามหันมาอัดฉีดเศรษฐกิจ ด้วยการทุ่มเทงบประมาณไม่ว่าระดับกี่ล้านล้านดอลลาร์ก็แล้วแต่ แถมยังคิดขึ้นภาษีบรรดาคนรวยทั้งหลาย เพื่อเอาเงินมาสร้างสาธารณูปโภค เพื่อสร้างการจ้างงาน เพื่อเพิ่มตำแหน่งงาน ฯลฯ ก็กลับยิ่งกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ภาวะเงินเฟ้อ ยิ่งมีแต่เฟ้อ...กับ...เฟ้อ หนักขึ้นไปอีก!!! ดังนั้น...ภาวะเงินเฟ้อในอเมริกานับจากนี้ มันชักจะเป็นไปอย่างที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจแห่ง “Loyola Marymount University and SS Economics” อย่าง “นายซอง วอน ซอน” (Sung Won Sohn) สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า ไม่น่าจะเป็นแค่ภาวะชั่วคราว หรือ “Transitory” เพราะ “ความเป็นภาวะชั่วคราว...มันออกจะลดน้อยถอยลงยิ่งเข้าไปทุกที” โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะลากยาวว์ว์ว์กันไปเป็นปีๆ และส่งผลให้มูลค่าของ “เงินดอลลาร์” มีแต่ต้องตกต่ำ หรือต้องเสื่อมค่าลงไปเรื่อยๆ จนอาจลุกลามไปเป็น “วิกฤตการเงิน” ต่อโลกทั้งโลก ดังที่ “ธนาคารกลางรัสเซีย” ได้ประมาณการเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าสิ่งเหล่านี้กำลังอุบัติขึ้นมาในอีกปี-สองปีนับจากนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...

นี่...ถ้าหากมันเป็นไปในแนวนี้ขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ คงไม่ใช่เรื่อง “ล้อเหล้นน์น์น์” หรือเรื่องปกติ-ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว การเตรียมตัว เตรียมใจ การปรับเนื้อ ปรับตัว เพื่อรับมือกับภาวะดังกล่าว ไม่ว่าในระยะสั้น ระยะยาว ระดับรายละเอียด หรือระดับโครงสร้าง ฯลฯ ย่อมต้องถือเป็นเรื่อง “จำเป็น” เอามากๆ และอาจไม่ใช่แค่การหาทาง “กระจายความเสี่ยง” กันในเรื่องเงินๆ-ทองๆ การทิ้งดอลลาร์แล้วหันไปหาทองคำสำรอง หรือเงินตราสกุลอื่นๆ ตามระบบกลไกของแต่ละธนาคารแต่เพียงเท่านั้น เพราะยิ่งถ้าหากไปฟังคำพูด-คำจา ของผู้ที่เคยป่าวประกาศว่าพร้อมจะเปลี่ยนระบบโลก ระเบียบโลก พร้อมรื้อทิ้ง “เผด็จการดอลลาร์” ลงไปให้จงได้ เช่นผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ที่ได้ใช้เวลาถึง 3 ชั่วโมง ในการเปิดอก เปิดประตู หน้าต่าง ถึงความคิด ความเห็น ต่อความเป็นไปของโลกในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ ที่สโมสร “Valdai Discussion Club” ณ เมืองโซชิ เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (21 ต.ค.) ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อต้องพูดถึงช่วงจังหวะเวลาแห่ง “การสิ้นสุดของทุนนิยม” (End of Capitalism)...

คือแม้จะไม่ได้ลงไปในรายละเอียดว่าอะไรเป็นอะไรมากมายสักเท่าไหร่ แต่การหยิบเอาหลักฐาน ข้อพิสูจน์ ที่กำลังปรากฏให้เห็นในระดับโลกทั้งโลก ด้วยคำพูดที่ระบุว่า... “ความไม่เท่าเทียมกันจากการแสวงหาประโยชน์ทางวัตถุ ที่กำลังขยายตัวยิ่งขึ้นในแต่ละสังคม โดยเฉพาะในประเทศรวยๆ ทำให้ทุกคนสามารถรับรู้ได้ว่า...การดำรงอยู่ของแนวทางทุนนิยม ที่ขณะนี้ก็คือพื้นฐานของกฎระเบียบต่างๆ ในแทบทุกทั้งสังคม หรือในบรรดาประเทศหลักๆ ทั้งหลาย กำลังอยู่ในอาการหมดเรี่ยว หมดแรง และนับวันจะเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยความสับสนจากแรงต่อต้านต่างๆ” โดยมันจะนำไปสู่การหันไปหาแนวทางใหม่ๆ ระบบใหม่ ระเบียบแบบใหม่ โครงสร้างใหม่ๆ หรือนำไปสู่ “การสิ้นสุดของทุนนิยม” หรือไม่ อย่างไร และเมื่อไหร่นั้น คงเป็นเรื่องที่แต่ละประเทศ ต้องไปหา “คำตอบ” กันเอาเอง นั่นแล…


กำลังโหลดความคิดเห็น