xs
xsm
sm
md
lg

AUKUS กับการสามัคคีทุกฝ่าย-ทำลายตัวเอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เอ็มมานูเอล มาครง
เปิดฉากสัปดาห์นี้...สงสัยคงต้องแวะไปดูประเทศ “ผู้ช่วยนายอำเภอ”อย่างจิงโจ้-ออสเตรเลีย กันสักหน่อยแล้วทั่น!!! เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา เขาได้สร้างข่าวคราวความเคลื่อนไหวที่ออกจะอึกทึก-คึกโครม อยู่พอสมควรเหมือนกัน นั่นคือ...ข่าวคราวการลงนามในสนธิสัญญาความร่วมมือทางด้านความมั่นคง การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร อุปกรณ์และเทคโนโลยีทางทหาร ระหว่าง “ออสเตรเลีย-อังกฤษ-และสหรัฐอเมริกา” (Australia-United Kingdom-United States of America) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ย่อๆ ว่า “AUKUS” นั่นเอง...

คือเอาเข้าจริงๆ แล้ว...สนธิสัญญาความร่วมมือที่ว่านี้ คงหนีไม่พ้นไปจากจุดมุ่งหมายแบบหยาบๆ-ง่ายๆ คือเพื่อ “ปิดล้อม” หรือ “ต่อต้าน”คุณพี่จีนกันโดยเฉพาะนั่นแหละทั่น หรือถือเป็นการถักทอบูรณาการสัมพันธภาพระหว่างประเทศซีกโลกเหนืออย่างอเมริกา-อังกฤษ กับประเทศซีกโลกใต้อย่างออสเตรเลีย มาตั้งแต่ครั้งอดีตรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา “นางฮิลลารี คลินตัน”คิดมา “ปักหมุดเอาไว้ในเอเชีย” (Pivot to Asia) ต่อเนื่องมาถึงยุครัฐบาล “ทรัมป์บ้า”ที่หวังจะสร้างความร่วมมือทางความมั่นคงกับบรรดาประเทศในอินโด-แปซิฟิก อย่างอินเดีย-ญี่ปุ่น-ออสเตรเลีย เพื่อเอาไว้ต่อต้านและปิดล้อมประเทศจีนกันโดยเฉพาะ จนกลายมาเป็นกลุ่มประเทศพันธมิตรจตุรภาคีหรือพันธมิตรสี่เหลี่ยมด้านเท่า ที่เรียกขานกันในนามกลุ่มประเทศ “QUAD”อะไรประมาณนั้น และเมื่อจุดมุ่งหมายในแบบหยาบๆ-ง่ายๆ เช่นนี้ ยังไม่ได้คิดจะลดราวาศอกลงไปเลยแม้แต่น้อย มันก็เลยก่อให้เกิดสนธิสัญญาความร่วมมือ “AUKUS” ขึ้นมาในช่วงระหว่างนี้กันจนได้...

แต่เหตุที่มันออกจะอึกทึก-ครึกโครม...ก็อาจเป็นเพราะว่า ภายใต้การแลกเปลี่ยนอุปกรณ์เครื่องมือ และเทคโนโลยีทางการทหารระหว่างออสเตรเลียกับอเมริกาและอังกฤษนั้น ย่อมทำให้ประเทศผู้ช่วยนายอำเภอแห่งนี้ไม่ต้องมัวเสียเวลาไปสั่งซื้อ “เรือดำน้ำพลังงานดีเซล” มูลค่าสูงถึงประมาณ 43,000 ล้านดอลลาร์ จากหนึ่งในประเทศ “นาโต” อย่างฝรั่งเศสอีกต่อไป เพราะสามารถใช้ความร่วมมือจากสนธิสัญญาดังกล่าวผลิต “เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์” ของตัวเองได้ถึง 8 ลำซ้อนๆ ภายในอีกไม่กี่สิบปีในอนาคตข้างหน้า แถมยังเป็นเรือที่มีศักยภาพ มีแสนยานุภาพ ระดับแนวหน้า สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์เอาไว้ในเรือชนิดนี้ หรือไม่ อย่างไร ก็ย่อมได้ หรือทำให้ออสเตรเลียกลายเป็นประเทศที่ 7 ที่มีเรือดำน้ำระดับนี้ ต่อจากประเทศอย่างอเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน และอินเดีย อันส่งผลให้ผู้ช่วยนายอำเภอรายนี้ เลยหนีไม่พ้นต้องตัดสินใจ “ฉีกข้อตกลง” สั่งซื้อเรือดำน้ำจากฝรั่งเศส แบบชนิดต่อหน้า ต่อตา เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ก็เลยเกิดความอึกทึก-ครึกโครม อันเนื่องมาจากประเทศฝรั่งเศสของท่านประธานาธิบดี “มาครง”ท่านเกิดอาการ “ฉุนขาด”ถือว่าเป็นการ “แทงข้างหลัง” ฝรั่งเศส หรือถือเป็นการ “Friendly Fires” การทิ้งระเบิดใส่หัวกบาลพันธมิตรอะไรประมาณนั้น คือแทนที่จะร่วมมือกันต่อต้าน ปิดล้อมจีนกันโดยปกติ โดยฝรั่งเศสก็พร้อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ด้วยการส่งเรือรบแล่นไปหาปลา ตกปลา ในทะเลจีนใต้ แบบเดียวกับบรรดาประเทศในกลุ่ม “นาโต” ทั้งหลาย แต่ด้วยข้อตกลงสนธิสัญญา “AUKUS”ที่ว่า เลยทำให้ฝรั่งเศสต้องสูญเสียรายได้จากการขายเรือดำน้ำดีเซลให้กับออสเตรเลีย ไปเป็นมูลค่านับหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ จนหนีไม่พ้นต้องหันมาแสดงอากัปกิริยา แสดงปฏิกิริยา ด้วยการส่ง “ถอนทูตฝรั่งเศส” ออกจากทั้งประเทศออสเตรเลียและอเมริกา ในแบบฉับพลัน-ทันที...

ดังนั้น...แทนที่สนธิสัญญาดังกล่าวจะก่อให้เกิดความร่วมมือในการต่อต้านจีนตามที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาปรารถนาและต้องการมานานแล้ว โดยแนวโน้ม...กลับดูจะก่อให้เกิดผลในทางตรงกันข้าม คือหนักไปทาง “สามัคคีทุกฝ่ายทำลายตัวเอง”หรือออกอาการ “โดดเดี่ยวตัวเอง”อย่างเห็นได้โดยชัดเจน เพราะกระทั่งพันธมิตรที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอดอย่างฝรั่งเศส ยังออกอาการฉุนกึก ฉุนขาด แถมยังอาจส่งผลให้ “แนวคิด”ที่ต้องการให้บรรดาประเทศในยุโรปเกิดความเป็นอิสระ ความเป็นตัวของตัวเอง ด้วยการแยกตัวออกมาจากองค์กรความร่วมมือทางทหาร อย่าง “นาโต”ที่มีคุณพ่ออเมริกา เป็นผู้ควบคุม บงการ ในแทบทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นแนวคิดที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส “นายเอ็มมานูเอล มาครง” รายนี้นี่เอง เคยนำเสนอในยุคที่รัฐบาล “ทรัมป์บ้า” พยายาม “บีบไข่”ประเทศยุโรป ในแต่ละเรื่อง แต่ละกรณี และผู้นำเยอรมนีก็เคยแสดงความเห็นพ้องต้องกันมาแล้วก่อนหน้านี้ ยิ่งน่าจะมีความเป็นไปได้ยิ่งขึ้นๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะอย่างที่ประธานคณะบริหารอียูและอดีตรัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี “นางUrsula von der Leyen” เพิ่งออกมาพูดเมื่อวันพุธที่แล้ว (15 ก.ย.) ที่รัฐสภาอียู ณ เมือง Strasbourg นั่นแหละว่า...ถึงแม้การจัดตั้งกองกำลังทหารของอียูขึ้นมาเอง ยังเป็นสิ่งที่มีปัญหาให้ต้องขบคิด คำนวณอีกเยอะแยะมากมาย แต่ถือเป็นเรื่องที่บรรดาประเทศอียูทั้งหลาย พึงต้องพยายามดำรงจุดมุ่งหมายและต้องเตรียมการเอาไว้ก่อนล่วงหน้า...

พูดง่ายๆ ว่า...การได้มาซึ่ง “พันธมิตรต่อต้าน”จีน โดยสนธิสัญญา “AUKUS” นั้น ได้ก่อให้เกิด “ความเสี่ยง”มิใช่น้อย ต่อการสูญเสียพันธมิตรในกลุ่มประเทศ “นาโต” ภายในอนาคตอีกไม่นาน-ไม่ช้า มิหนำซ้ำ...อาจก่อให้เกิดอาการคิดเล็ก-คิดน้อย ขึ้นมาในกลุ่มประเทศพันธมิตรจตุรภาคี หรือกลุ่ม “QUAD” อย่างเช่น อินเดีย และญี่ปุ่น อีกด้วยก็ไม่แน่!!! ที่ต่างไม่ได้รับการดูแลทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยง ได้รับผลประโยชน์ตอบแทนเทียบเท่ากับพันธมิตรภายในองค์กรเดียวกัน และที่หนักหนา-สาหัสยิ่งไปกว่านั้น ก็คือได้ทำให้ประเทศที่เคยอยู่ไกลตา-ไกลตีน จากบรรดาความขัดแย้งต่างๆ ในโลกมาโดยตลอด อย่างออสเตรเลีย อาจต้องตกเป็น “เป้าหมาย”ของขีปนาวุธนิวเคลียร์จากจีนไปจนถึงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์อย่างรัสเซีย ที่คงหนีไม่พ้นต้องหันไป “เล็งเป้า”ไปยังประเทศนี้ ในฐานะที่มีศักยภาพ มีแสนยานุภาพ พอที่จะเปิดฉากสงครามนิวเคลียร์กับทั้งสองประเทศขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้...

นั่นยังไม่รวมไปถึง...ความสูญเสียทางเศรษฐกิจของออสเตรเลีย ที่เคยมีประเทศจีนเป็นคู่ค้าอันดับต้นๆ มาโดยตลอด เพราะไม่ว่าจะในแง่สินค้าอาหาร การเกษตร ไวน์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกแร่เหล็ก ฯลฯ ต่างมีอันต้องพังพินาศกันไปเป็นแถบๆ นับจากออสเตรเลียได้หันมาแสดงการต่อต้านและปิดล้อมประเทศจีน อย่างออกหน้า-ออกตา หรือด้วยเหตุเพราะความปรารถนาและต้องการที่จะรับบทเป็น “ผู้ช่วยนายอำเภอ” ของนายกรัฐมนตรี “นายScott Morrison” อันเป็นอะไรที่ออกไปทาง “เบบี้”หรือออกอาการแบบ “เด็กวัดประจบพระ” (Fawning acolyte) อย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียเอง “นายPaul Keating” เพิ่งออกมาวิพากษ์วิจารณ์ ผู้นำออสเตรเลียรายนี้เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา รวมทั้งอดีตนายกรัฐมนตรี “Kevin Rudd”ไปจนกระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรี “Malcolm Turnbull” ที่มาจากพรรคเดียวกันด้วยกันแท้ๆ ยังอดไม่ได้ที่จะแสดงความผะอืดผะอมต่อนโยบายต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียรายนี้ อันส่งผลให้จีนและออสเตรเลีย ต้องอยู่ในสภาพไม่ต่างไปจากการเปิดฉาก “สงครามเย็น”ระหว่างกันและกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น...

ดังที่ “นายPaul Keating” และ “นายMalcolm Turnbull” ได้สรุปไว้ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า “ความพยายามประจบประแจงเอาใจสหรัฐอเมริกา ไม่เพียงแต่ทำให้ออสเตรเลียต้องทำสงครามเย็นกับจีน แต่นโยบายต่างประเทศของนาย Morrison กำลังนำพาประเทศนี้ไปสู่ทางตัน อีกทั้งยังเป็นการบ่อนทำลายความสำเร็จแห่งการเป็นสังคมที่หลากหลายของออสเตรเลียลงไปอีกด้วย”แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะวาสนา เพราะลักษณะอุปนิสัยของลูกหลาน “อดีตนักโทษเนรเทศ”หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่จะคิดกันไป ความพยายามร่วมมือ-ร่วมไม้ ของทั้งออสเตรเลีย-อังกฤษ และอเมริกา ตามสนธิสัญญา “AUKUS”ที่ว่า ก็จึงออกอาการไม่ต่างอะไรไปจากการ “สามัคคีทุกฝ่าย-ทำลายตัวเอง” นั่นแล...




กำลังโหลดความคิดเห็น