ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องพยายามไปควานหา “ข่าวดีๆ” ที่อ่านแล้ว ฟังแล้ว พอให้เกิดความสดใสซาบซ่าขึ้นมาได้มั่ง อย่างน้อย ก็เพื่อลดความเครียด ความซีเรียส ไม่ว่าในบ้านเรา หรือบ้านอื่น ที่ออกจะน่าปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งเข้าไปทุกที และเท่าที่เห็นว่า...น่าจะเป็นไปในแนวนี้ คงหนีไม่พ้นไปจากคำพูด คำจา ของบรรดา “ท.ทหารอดทน” ของประเทศคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ ที่อาจต้องจัดอยู่ในประเภท “มธุรสวาจา” หรือ “ปิยวาจา” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
อย่างเช่นรายแรก...ได้แก่รองประธานเสนาธิการทหารอเมริกา “พลเอกJohn E. Hyten” ที่ไปพูดเอาไว้ ณ สถาบัน “The Brooking Institute” เมื่อช่วงวันจันทร์ (13 ก.ย.) ที่ผ่านมา ถึงฉากสถานการณ์ความเป็นไปโลก ที่ชักเพิ่มความตึงเครียด ความซีเรียส อย่างชนิด “มิอาจควบคุมได้” ขึ้นมาในวันใด-วันหนึ่ง อันเป็นสิ่งที่ผู้ที่รักสันติ ผู้ที่ใจนิ่ง ใจเย็น พึงต้องหาทางป้องกัน ไม่ให้สิ่งเหล่านี้ไต่ระดับขึ้นไปถึงขั้นเกิดการฉุดกระชากลากถูให้มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ต้องหันไปทำสงครามกับประเทศมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนหรือรัสเซียกันในอนาคตเบื้องหน้า เพราะถ้าต้องไปถึงจุดนั้นขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่รองประธานเสนาธิการทหารรายนี้ ได้สรุปเอาไว้สั้นๆ ก็คือ... “โลกทั้งโลกและระบบเศรษฐกิจทั้งมวลจะถูกทำลาย มันจะกลายเป็นวันแห่งความสยองขวัญของทุกๆ คนและทุกๆ ประเทศ และผมอยากจะให้ความมั่นใจว่า...เรา (กองทัพอเมริกัน) จะไม่เดินไปในแนวนั้น...”
นี่...ต้องเรียกว่าฟังแล้วชื่นน์น์น์ ฟังแล้วปลื้มม์ม์ม์ ฟังแล้วสุรบถ หลีกภัยขึ้นมาตามสมควร แม้บรรดาพวกนักคิด นักวิชาการ นักยุทธศาสตร์อเมริกันจำนวนไม่น้อย ดังที่เคยยกตัวอย่างไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา เช่นพวก “Think-Tanks” ในบริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงอย่างบริษัท “RAND Corporation” เป็นต้น ที่หนักไปทางกระเหี้ยนกระหือรือ กระหายสงครามมาโดยตลอด ต่างไปจากรองประธานเสนาธิการทหาร อย่าง “พลเอกJohn E. Hyten” ที่กลับมองว่า “รัสเซีย...ไม่ใช่เป็นภัยคุกคามของเราอีกต่อไปแล้ว” แม้จะมีความพยายามพัฒนายุทโธปกรณ์ในด้านต่างๆ รวมทั้งขีปนาวุธนิวเคลียร์ แต่นั่นเป็นเพราะ “ความกังวลที่มีต่อท่าทีของเรา” ...
ส่วนจีนนั้น...อาจน่ากังวลอยู่บ้างตามสมควร เนื่องจากไม่ได้อยู่ในข้อผูกพันแห่งการจำกัดหัวรบนิวเคลียร์ เหมือนอย่างอเมริกาและรัสเซีย ที่ยังต้องจำกัดหัวรบนิวเคลียร์ไม่ให้เกินไปกว่า 1,550 หัวรบ แต่ถึงกระนั้นรองประธานเสนาธิการทหารรายนี้ ยังคงเห็นว่า...การปรับปรุงความสัมพันธ์กับประเทศทั้งสอง ไม่ว่าจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานเพียงใดก็แล้วแต่ ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด เนื่องจาก “เป้าหมายของเรา...ก็คือไม่ต้องการที่จะเข้าสู่สงครามไม่ว่ากับจีนหรือรัสเซียก็ตาม” ส่วนจะจริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ อันนั้น...คงต้องเก็บไปคิดเป็นการบ้านกันเอาเองก็แล้วกัน เพราะถ้าฟังจากสื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” โดยข้อเขียน บทความ ของหัวหน้ากองบรรณาธิการ “นายHu Xijin” อาจยังไม่ถึงกับปักใจเชื่อมากมายสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเมื่อยังต้องเจอกับการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ของกองทัพเรืออเมริกัน ณ ช่องแคบไต้หวัน ที่ยังไม่คิดจะเลิกราไปซักกะที...
แต่จะอย่างไรก็ตาม...สิ่งที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดยิ่งขึ้นไปกว่านั้น ก็คือ “รายงานข่าว” ของหนังสือพิมพ์ “The Washington Post” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ด้วยการอ้างถึงเนื้อหาสาระ ในหนังสือพ็อกเกตบุ๊กเล่มใหม่ ของอดีตเหยี่ยวข่าวระดับตำนาน อย่าง “นายBob Woodward” และ “นายRobert Costa” ที่กำลังออกวางจำหน่ายในช่วงสัปดาห์หน้า อันมาจากการรวบรวมบทสัมภาษณ์ของ “แหล่งข่าว” จำนวนไม่น้อยกว่า 200 คน โดยได้ระบุเอาไว้ในเนื้อหาบางช่วง บางตอน ถึงบทบาทของประธานเสนาธิการทหารสหรัฐฯ อย่าง “พลเอกMark Milley” ในช่วงหน้าสิ่ว-หน้าขวาน หรือหน้าข้าว-หน้าเหล้า หรือช่วงวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 2020 ก่อนหน้าการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีอเมริกันเพียงแค่ 4 วัน และวันที่ 8 มกราคม ค.ศ.2021 หรือประมาณ 2 วัน หลังจากบรรดาผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีคนเก่า “ทรัมป์บ้า” ตัดสินใจบุกรัฐสภาอเมริกัน ช่วงจังหวะนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ประธานเสนาธิการทหารอเมริกัน ต้องตัดสินใจต่อสายไปถึงผู้นำทางทหารของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน อย่าง “พลเอกLi Zuocheng” เพื่อให้ความมั่นใจกับบรรดาชาวจีนทั้งหลายว่า แม้ว่าอดีตประธานาธิบดีอเมริกัน อาจฉวยโอกาส “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ด้วยการสั่งให้โจมตีประเทศจีนในจังหวะดังกล่าว ถ้าหากกองทัพอเมริกันไม่อาจฝืนคำสั่งดังกล่าวได้ ประธานเสนาธิการทหารอเมริกันรายนี้นี่แหละ ก็พร้อมที่จะเตือนจีนให้รู้ตัวเอาไว้ก่อนล่วงหน้า...
นี่...ต้องเรียกว่า ถือเป็น “รายงานข่าว” ที่น่าตกตะลึงพรึงเพริดมิใช่น้อย ถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ข่าวปล่อย ข่าวลือ หรือ “ข่าวปลอม” อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” ได้ออกมาแก้ตัวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือกะจะใช้ “สงครามกับจีน” เป็นตัวพลิกสถานการณ์ความพ่ายแพ้ทางการเมืองภายในประเทศ แบบชนิดดื้อๆ ทื่อๆ หรือแบบไม่คิดจะสนใจ “เหตุผล” ใดๆ อีกต่อไปแล้ว ใครที่สนใจว่าจะจริง-ไม่จริง จริงใจ-หรือจิงโจ้ สรยุทธ-ไม่สรยุทธ คงต้องไปตามอ่านรายละเอียดเอาเองก็แล้วกัน ไม่ว่าจากคำให้สัมภาษณ์ของผู้อำนวยการซีไอเอ “นางGina Haspel” ไปจนถึงผู้บริหารหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติอย่าง “นายPaul Nakasone” ที่มีต่อช่วงจังหวะเหตุการณ์ดังกล่าว หรือต่อการกระทำของประธานเสนาธิการทหารสหรัฐฯ ที่อดีตประธานาธิบดีคนเก่าสรุปว่าถือเป็นการ “ทรยศต่อชาติ” ถ้าหากมีการกระทำเช่นนั้นจริงๆ...
แต่เอาเป็นว่า...การแสดงออกถึงความมีเหตุ-มีผล ความใฝ่ใจในสันติภาพ มากกว่าความกระเหี้ยนกระหือรือในอันที่คิดจะจุดไฟสงคราม ไม่ว่าโดยรองประธานเสนาธิการทหาร หรือตัวประธานเสนาธิการทหารก็แล้วแต่ ก็คงต้องถือเป็นแนวโน้มในทางที่ดี ไม่ว่าต่อโลกทั้งโลก หรือต่อชาวอเมริกันเองก็เถอะ เพราะไม่เพียงแต่โดยเหตุผลในทาง “การเมือง” เท่านั้น กระทั่งในแง่ “การทหาร” ด้วยแล้ว ตั้งแต่ช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อดีตทหารอเมริกันที่เคยมีฐานะตำแหน่งเป็นถึงผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ อย่าง “พลเรือเอกChares Richard” ก็เคยออกมา “ชั่งน้ำหนัก” เอาไว้ระหว่างการบรรยาย ณ สถาบัน “The Hudson Institute” อย่างชนิดตรงไป-ตรงมา ประมาณว่า...ต้องถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การทหาร ที่กองทัพอเมริกาต้องเผชิญหน้ากับการร่วมมืออย่างใกล้ชิด หรือการเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” ของทั้งสองมหาอำนาจคู่แข่ง อย่างจีนและรัสเซีย ภายในห้วงระยะเวลาพร้อมๆ กัน...
โดยที่ความเป็นมหาอำนาจของ “ฝ่ายตรงกันข้ามทั้งสอง” นั้น...ไม่เพียงแต่ต่างมีศักยภาพนิวเคลียร์ไปด้วยกันทั้งคู่ แต่ยังเต็มไปด้วยระบบเทคโนโลยีขั้นสูงในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ทั้งบนบก น่านน้ำ ไปจนถึงห้วงอวกาศ อันทำให้แม้แต่ประเทศที่ได้ชื่อว่า “เครื่องจักรสังหาร” อย่างอเมริกา อาจถึงขั้นต้องหันมาทบทวนยุทธศาสตร์ของตัวเอง โดยเฉพาะนโยบายยับยั้งหรือปิดล้อม (Containment) ที่เคยมีมาโดยตลอด หรือคงต้องระมัดระวังเอามากๆ ต่อการกำหนดนโยบายก้าวต่อไป และสิ่งที่น่าจะถือเป็นแนวนโยบาย เป็นยุทธศาสตร์ที่สอดคล้องเหมาะสมกับฉากสถานการณ์ทำนองนี้ ก็คือ...การหันไปปรับปรุงสัมพันธภาพกับประเทศทั้งสอง หรือหันไปสร้างความร่วมมือเพื่อให้เกิดการ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” กับทั้งจีนและรัสเซียขึ้นมาให้จงได้!!! นี่...ต้องเรียกว่า ฟังแล้วออกจะเป็นอะไรที่ชื่นมื่น ชื่นสะดือ มิใช่น้อย โดยเฉพาะสำหรับบรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” หรือประเทศเล็ก ประเทศน้อย อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย ที่คงไม่ต้องเสียเวลาเกร็ง ไม่ต้องเสียเวลาขนหัวลุก ขนคอตั้ง ต่อไปอีกตราบนานเท่านาน...