xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา...ในยุคแม้พัดลมยังส่ายหน้าเลย!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


กมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐฯ
อุตส่าห์ถ่อสังขาร ลากสังขาร อันบอบบางอ้อนแอ้น...เพื่อเข้ามา “ปักหมุดในเอเชีย” ด้วยการเดินทางไปเยือนสิงคโปร์และเวียดนาม เพื่อหวังให้ช่วยกันต่อต้าน เล่นงาน หรือปิดล้อม “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีน ในแนวรบทะเลจีนใต้กันโดยเฉพาะ แต่งานนี้...รองประธานาธิบดีหญิงผิวสีคนแรกของอเมริกา อย่าง “นางกมลา แฮร์ริส” (Kamala Harris) น่าจะ “แห้วกระป๋อง” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน!!!

อันเนื่องมาจาก...เรื่องราวของความอับอาย ขายหน้า ความเสียหมา เสียสุนัข ของมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ยังน่าจะตามมา “หลอกหลอน” ชาวอเมริกันและชาวโลกไปอีกตราบนานเท่านาน เพราะแม้แต่มาถึง ณ ขณะนี้...ก็ยังแทบไม่รู้ว่า สิ่งที่น่าจะจบๆ น่าจะปิดกล่อง น่าจะหมดสภาพต่ออะไรก็ตามที่เคยเป็นตำนานความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของจักรวรรดิโลกแห่งนี้ มันจะจบแล้ว-จบเลยกันไปในลักษณะไหน เพราะการขนย้ายผู้คน ผู้พยายามอพยพหลบลี้หนีภัยจากดินแดนอัฟกานิสถาน โดยเฉพาะผู้ที่เคยช่วยเหลือเจือจาน บรรดาทหารอเมริกันและกองกำลังพันธมิตรมาโดยตลอดช่วงกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ในการต่อสู้เพื่อเอาชนะกลุ่มก่อการร้าย “ตอลิบาน” อย่างชนิดถึงพริก-ถึงขิง แต่ยังคง “ติดค้าง” อยู่ ณ สนามบิน “Karzai Airport” นับเป็นหมื่นๆ หรือไม่ต่ำกว่า 50,000-60,000 คน เป็นอย่างน้อย นั่นยังไม่รวมไปถึงบรรดาเจ้าหน้าที่ด้านต่างๆ ของสหรัฐฯ อีกไม่ต่ำกว่า 15,000 คน ที่จะต้องหาทางขนถ่าย ขนย้าย ให้ทันเวลา “เส้นตาย” หรือให้เบ็ดเสร็จ เรียบร้อย ไม่เกินไปกว่าวันที่ 31 สิงหาคม หรืออีกแค่ประมาณ 4-5 วันนับจากนี้เป็นต้นไป...

เพราะถ้าขนย้าย ขนถ่าย ไม่ทัน...หรือคิดจะ “ต่อเวลา” ออกไป ดังที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” อยากให้เป็นไปเช่นนั้น แต่สำหรับพวก “ตอลิบาน” ที่ได้กลายมาเป็น “ผู้ชนะ” แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ในสงคราม 20 ปีกับสหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก กลับออกมาขีดเส้น ทับเส้นตายไว้แบบแจ่มแจ้ง ชัดเจน ว่ายังไงๆ...ก็ต่อเวลาไม่ได้ ยืดเวลาไม่ได้ เพราะจะหมายถึงการยืดเวลาครอบครองอัฟกานิสถานโดยกองกำลังต่างชาติต่อไปอีก อะไรประมาณนั้น โดยผลสรุปสุดท้ายจะเป็นไปเช่นไร คงต้องรอดูการพบปะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ ระหว่าง “ผู้อำนวยการซีไอเอ” ของสหรัฐฯ กับ “ผู้นำตอลิบาน” ที่น่าจะเริ่มจ๊ะๆ จ๋าๆ กันไปบ้างแล้วตามข่าวล่า-มาเรือ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา...

คือถ้าว่ากันตามความเห็นของนักการทูตระดับแนวหน้าของอียู อย่าง “นายJosep Borrell” ที่ออกมาให้ความเห็นไปเมื่อวัน-สองวันก่อน ต้องถือเป็นเรื่อง “impossible” หรือเป็นไปไม่ได้เอาเลย ที่ทางการสหรัฐฯ รวมทั้งพันธมิตรตะวันตก จะหาทางยักย้ายถ่ายเท ผู้คนที่ไปอออยู่ที่สนามบินระดับ 50,000-60,000 คน หรือมากไปกว่านั้น ให้หลุดออกจากบรรยากาศอันสุดแสนน่าจะสะพรึงกลัวในอัฟกานิสถานนับจากนี้เป็นต้นไป ให้ทันเวลาซึ่งเหลืออยู่อีกเพียงแค่ไม่ถึงสัปดาห์เท่านั้นเอง และถ้าขนไม่ทัน ย้ายไม่ทัน บรรดาผู้คนระดับ 50,000-60,000 คนที่ว่านี้ คงแทบไม่ต่างไปจาก “ตัวประกัน” ที่อดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ “นายJustin Parks” ผู้เคยถูกส่งไปรบในอิรัก ในอัฟกานิสถาน มาตลอดยุคอดีตประธานาธิบดี “บุช” “โอบามา” “ทรัมป์” และ “ไบเดน” และผู้เคยรอดตายแบบหวุดๆ หวิดๆ ในครั้งเกิดการลอบวางระเบิดในกรุงคาบูล เมื่อช่วงวันที่ 31 พ.ค. 2017 ซึ่งทำเอาคนตายไป 150 คน บาดเจ็บไปถึง 450 คน ได้ใช้คำเรียกขานสถานการณ์ทำนองนี้ว่าไม่ต่างอะไรไปจาก “การยึดตัวประกันครั้งใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์อเมริกา” นั่นเอง!!!

เพราะสิ่งที่ “นายJustin Parks” ได้บอกเล่าให้กับนักเขียนและพิธีกรชาวอังกฤษ “Jani Allan” ได้รับรู้ รับทราบ แล้วนำมาถ่ายทอดต่อให้สาธารณชนได้อ่านในข้อเขียน บทความ เมื่อไม่กี่วันมานี้ ต้องเรียกว่า...ฟังแล้ว “น่าขนหัวลุก” เป็นอย่างยิ่ง คือแทบไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ ว่าการ “หนียะย่าย พ่ายจะแจ” ของทหารอเมริกันและตะวันตกออกจากอัฟกานิสถานคราวนี้นั้น อะไรมันจะรีบๆ ร้อนๆ ลวกๆ เละๆ ไปได้ถึงปานนั้น คือไม่ใช่แค่ต้องทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์ อันสุดแสนจะทันสมัย ไม่ว่าจรวด รถถัง เครื่องบิน ไปจนถึงปืนกลหนัก ปืนกลเบา ฯลฯ เอาไว้ให้พวก “ตอลิบาน” เก็บไปใช้ฆ่าใครต่อใครได้แบบสบายๆ แต่ยังปล่อยให้ข้อมูลข่าวสาร ที่ถูกรวบรวมเอาไว้ในอุปกรณ์ เครื่องมือชิ้นสำคัญ ที่เรียกกันย่อๆ ว่า “HIIDE” หรือ “Handheld Insurgency Identity Detection Equipment” ซึ่งได้รวบรวมรายชื่อและข้อมูลทางชีววิทยา ของบรรดาชาวอัฟกันผู้ที่คอยให้ความช่วยเหลือทหารอเมริกันและพันธมิตรตะวันตกมาตลอด 20 ปี ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดระดับลายนิ้วมือ การสแกนม่านตา ไปจนถึงแหล่งพักพิง การใช้ชีวิตส่วนตัว ฯลฯ ให้ตกอยู่ในมือของพวก “ตอลิบาน” ชนิดสามารถไล่เรียงเอาผิดไปเป็นรายตัว รายบุคคล แบบไม่ต้องเสียเวลาไป “เคาะประตูบ้าน” แล้วค่อยจับมาขัง หรือมา “ประหาร” อย่างที่เริ่มเป็นข่าวคราวไปบ้างแล้ว ในช่วงระหว่างนี้...

แม้ว่าการ “หนียะย่าย พ่ายจะแจ” แบบรีบๆ ร้อนๆ ลวกๆ เละๆ ของกองทัพอเมริกันในอัฟกานิสถานคราวนี้ จะถูกยืนหยัด ยืนกราน แบบกระต่ายขาเดียว หรือกี่ขาก็แล้วแต่ ของผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ประมาณว่า...ไม่มีใครในทำเนียบขาวจะทำสิ่งที่ดีไปกว่านี้ได้อีกแล้ว หรือไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่มีใครที่ต้องรู้สึกผิด แต่ในสายตาบรรดา “พันธมิตรอเมริกัน” โดยเฉพาะบรรดาพวก “นาโต” ทั้งหลาย ที่ออกมายืนยันว่าการตัดสินใจถอนทหารของผู้นำอเมริกันคราวนี้ ไม่ได้คิดปรึกษาหารือกับ “นาโต” เอาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะในแง่รายละเอียด ในเรื่องจังหวะและเวลา จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง “เละ...กับ...เละ” หรือเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ชนิดที่รัฐมนตรีต่างประเทศอังกฤษ “พันธมิตร” ผู้เคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกันมาโดยตลอด อย่าง “นายDominic Raab” ยังอดไม่ได้ที่จะต้องออกมา “สารภาพ” กับหนังสือพิมพ์ “Sunday Telegraph” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ว่านับแต่นี้ต่อไป...การติดต่อสัมพันธ์ใดๆ กับประเทศอัฟกานิสถาน หรือกับรัฐบาลตอลิบานในอนาคต ตะวันตกทั้งตะวันตกหนีไม่พ้นต้องหันไป “พึ่งพา” คุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียเท่านั้น ที่ยังพอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวก “ตอลิบาน” และพยายายามทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปใน “ทางสายกลาง” มากขึ้นนั่นเอง...

ดังนั้น...ไม่ว่าใครถูก-ใครผิด อะไรถูก-อะไรผิด ก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ก็คือ อาการหนียะย่าย พ่ายจะแจ รีบๆ ร้อนๆ ลวกๆ เละๆ ของรัฐบาลอเมริกันคราวนี้ ได้ทำให้ “คะแนนนิยม” ทางการเมืองของ “ผู้เฒ่าโจ” หล่นมาอยู่ที่ “ต่ำกว่า 50 เปอร์เซ็นต์” เป็นครั้งแรก ถ้าว่ากันตามผลสำรวจของ “NBC News” เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา หรือทำให้บรรดาอเมริกันชนจำนวนไม่น้อย เกิดความอับอายขายหน้าไม่น้อยไปกว่าครั้ง “สงครามเวียดนาม” หรืออาจจะหนักกว่า มากกว่า เอาเลยก็ไม่แน่ อย่างที่อดีตนาวิกโยธิน “Justin Parks” สรุปเอาไว้ว่า... “เลวร้ายกว่าครั้งไซ่ง่อนแตกในปี ค.ศ. 1975 ซะอีก” หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักคิด นักวิชาการชาวจีน อย่าง “Sun Chenghao” ที่สะท้อนความรู้สึกเอาไว้ใน “Global Times” เมื่อสองวันก่อน แนวโน้มที่จะเกิดภาวะ “Afghan War Syndrome” แบบเดียวกับที่เคยเกิด “Vietnam War Syndrome” ในสังคมอเมริกันนับจากนี้ต่อไป ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

คือภาวะของความอับอายขายหน้า ความผิดหวัง สิ้นหวัง ความรู้สึกหดหู่ ที่อาจลุกลามบานปลายไปสู่ภาวะความแตกแยกภายในสังคม ความรู้สึกในเชิงต่อต้าน การขบถต่อสังคม ฯลฯ แบบที่เคยทำให้เกิดพวก “ฮิปปี้” พวกต่อต้านอำนาจรัฐ ต่อต้านกฏระเบียบต่างๆ จนสังคมอเมริกันทั้งสังคมต้องเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ไปอีกนานแสนนาน จริง-ไม่จริง...ก็คงต้องไปคิดๆ กันเอาเองก็แล้วกัน แต่ถ้าดูจากข่าวล่า-มาเรือช่วงนี้ การยกพวกออกมาตีกัน ยิงกัน ของพวก “ฝ่ายขวา” หรือพวกเหยียดผิว เหยียดเชื้อชาติ ที่พยายามสนับสนุนรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” มาโดยตลอด อย่างพวก “Proud Boys” กับพวก “ฝ่ายซ้าย” หรือพวก “Antifa” ที่ไม่เพียงแต่มุ่งต่อต้านเผด็จการฟาสซิสต์ การเหยียดเชื้อชาติในสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่ยังถือเป็นพวกที่มีอิทธิพลมิใช่น้อย ในกลุ่มนักการเมืองปีกซ้ายพรรคเดโมแครต ที่ต่างไล่เหยียบ ไล่กระทืบ ไล่ยิง กันที่เมืองพอร์ตแลนด์ เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง...

ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่องไม่แปลก ที่รองประธานาธิบดีหญิงของอเมริกา เลยหนีไม่พ้นต้องเปิด “แห้วกระป๋อง” ขึ้นมารับประทานอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย โดยต้องสรุปเอาไว้ประมาณว่า...หลังจากที่ “แก้ปัญหาอัฟกานิสถาน” อันเป็นปัญหาเร่งด่วนเรียบร้อยแล้ว ก็น่าจะได้เวลาที่อเมริกาจะหันมา “บุกจีน” หรือบุกทะเลจีนใต้ โดยจะมีใครร่วมบุก ร่วมสู้กับอเมริกันหรือไม่ อย่างไร อันนี้คงต้องถือว่า...วอท เอเวอร์ วิลบี วิลบี ก็แล้วกัน...




กำลังโหลดความคิดเห็น