สถานการณ์ในอัฟกานิสถานซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของกองกำลังตอลิบานทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นเสือสิ้นลาย และความผิดพลาดในการตัดสินใจทำเอาผู้นำทำเนียบขาว โจ ไบเดน มีปัญหาด้านความนิยมซึ่งตกต่ำที่สุดนับตั้งแต่ได้ตำแหน่งมาในเดือนมกราคมปีนี้
ไบเดนต้องรีบอธิบายให้คนอเมริกันเข้าใจว่าไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เป็นความต้องการของตนเองที่จะถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากอัฟกานิสถาน หลังจากทนสู้รบอยู่นานถึง 20 ปี เป็นสงครามที่ทหารอเมริกันสู้รบนานที่สุด และไม่สามารถเอาชนะได้
รบนาน ลงทุนมหาศาลเหมือนในสงครามเวียดนาม ทหารอเมริกันเสียชีวิตมาก แต่ผลสุดท้ายต้องตาลีตาเหลือกเผ่นหนีออกจากประเทศแทบไม่ทัน ทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์มูลค่าและจำนวนมหาศาลให้กองกำลังตอลิบานได้ใช้โดยแทบไม่ต้องลงทุนซื้อหาอีกนาน
นอกจากเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอว์กที่ทันสมัย ยังมีเครื่องบินรบอีกอย่างน้อย 21 ลำ ปืนเอ็ม 16 เอ็ม 4 ยานรบประเภทต่างๆ หลายหมื่นคัน โดยสหรัฐฯ คาดว่าทหารอัฟกานิสถานจะใช้งานเพื่อต่อสู้กับกองทัพตอลิบาน แต่กลับไม่ยอมสู้ในช่วงสำคัญ
ทหารอัฟกันทิ้งอาวุธ ผละจากการรบ ยอมให้กองทัพตอลิบานยึดเมืองหลวง กรุงคาบูลได้อย่างง่ายดาย แทบไม่ต้องสิ้นเปลืองกระสุน ไม่มีใครต้องบาดเจ็บ เสียชีวิต
เป็นความล้มเหลวของสหรัฐฯ อย่างหมดรูป อธิบายไม่ได้ว่าทำไมถึงเกิดความผิดพลาดทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านยุทธศาสตร์ ข่าวกรอง และการคาดหวังว่าทหารอัฟกันจะสู้ศึก เพื่อให้สหรัฐฯ มีเวลาถอนตัวออกจากประเทศด้วยอาวุธ อุปกรณ์ที่จำเป็น
ในช่วงก่อนกรุงคาบูลแตกไม่กี่วัน เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ แทบไม่มีเวลาทำลายเอกสารและอุปกรณ์สำคัญเกี่ยวกับการเก็บรักษาข้อมูล ความลับต่างๆ แม้แต่การอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานทูตก็เต็มไปด้วยความทุลักทุเล ไม่ต่างจากช่วงเวียดนามใต้แตก
ผลสำรวจความคิดเห็นของคนอเมริกันปรากฏว่า 75 เปอร์เซ็นต์มองว่าเป็นการตัดสินใจอย่างผิดพลาดในการจัดการ มีเพียง 25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นด้วย และยังอ้างว่าการอพยพคนเป็นหมื่นๆ จากสนามบินคาบูล เป็นไปโดยไม่มีเหตุร้าย หรือคนเสียชีวิต
นั่นเป็นเพราะกองกำลังตอลิบานยอมให้สหรัฐฯ อพยพคนไปให้มากตามที่ต้องการ ทั้งยังอำนวยความสะดวกจัดคิวให้คนอัฟกันเดินทางเข้าสนามบินอย่างเป็นระเบียบ หลังจากมีเหตุแย่งกันทำให้มีคนถูกเบียด เหยียบเสียชีวิตหลายราย
แต่ยังมีข่าวร้ายซึ่งทำให้คนอัฟกันแตกตื่น เร่งหนีตายออกจากประเทศ หลังจากมีข่าวคนถูกทำร้าย กองกำลังตอลิบานถืออาวุธไปตรวจค้นอาคารบ้านเรือน หาตัวคนทำอาชีพสื่อซึ่งอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตอลิบาน ตามหาหญิงสาวโสดโดยให้ครอบครัวรายงาน
กลุ่มคนรักเพศเดียวกัน ประเภท LGBT จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะถูกกำจัดมากที่สุดเมื่อกฎหมายชาเรียของอิสลามถูกนำมาใช้บริหารประเทศหลังจากตอลิบานจัดตั้งรัฐบาลซึ่งคาดว่าจะเสร็จทันวันที่ 11 เดือนหน้าซึ่งครบรอบการทำลายอาคารเวิลด์เทรดฯ
ช่วงนี้ยังเหลือคนรอการอพยพอีกหลายหมื่นคน รวมทั้งคนอเมริกันที่ตกค้างอยู่หลายพันคนเพราะออกจากประเทศไม่ทัน เนื่องจากกรุงคาบูลแตกเร็วเกินคาด ทั้งยังมีคนชาติอื่นๆ ที่รอการอพยพ ดังนั้นสหรัฐฯ ต้องการยืดเวลาจากเส้นตายวันที่ 31 เดือนนี้
กองกำลังตอลิบานไม่ได้เข้าไปยุ่งกับสนามบินคาบูล ปล่อยให้มีการอพยพโดยมีทหารสหรัฐฯ 6 พันนายให้ความคุ้มครอง ขณะเดียวกันรัฐบาลสหรัฐฯ ได้สั่งให้ 4 สายการบินพาณิชย์เตรียมเครื่องบิน 18 ลำช่วยขนผู้อพยพจากประเทศที่ 2 ไปสู่จุดหมายสุดท้าย
การขนผู้อพยพจากกรุงคาบูลทำโดยเครื่องทหารเอาไปลงฐานทัพสหรัฐฯ ในประเทศต่างๆ เพื่อเตรียมเอกสารและคัดกรอง ก่อนส่งต่อไปให้ประเทศที่ผู้อพยพต้องการ ซึ่งมีประเทศพร้อมรับคืออังกฤษ เม็กซิโก นอกจากสหรัฐฯ แต่หลายประเทศพยายามบ่ายเบี่ยง
กลุ่มประเทศในประชาคมยุโรปประชุมด่วนเพื่อหาทางออกและให้ความช่วยเหลือการอพยพให้เร็วที่สุด ปัจจุบันมีผู้อพยพเข้าไปในปากีสถานเกือบ 2 ล้านคน และในอิหร่านกว่า 8 แสนคน และยังจะมีอยู่อีกเพราะคนอัฟกันไม่แน่ใจอนาคตในประเทศ
ส่วนหนึ่งของผู้อพยพจากคาบูลถูกขนไปลงที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และฐานทัพสหรัฐฯ แรมสไตน์ในเยอรมนี เพื่อจัดทำเอกสาร คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์
ขณะเดียวกันมีข่าวว่าอาจมีการโจมตีทหารสหรัฐฯ ในสนามบินคาบูลโดยกองกำลังกลุ่มไอซิส ซึ่งเป็นเรื่องประหลาด เพราะมีข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับตอลิบานว่าอัฟกานิสถานจะต้องไม่ถูกใช้เป็นที่ซ่องสุมกำลังของกลุ่มก่อการร้ายหรือกำลังต่างชาติ
ดังนั้นตอลิบานย่อมไม่เสี่ยงปล่อยให้กลุ่มไอซิสทำอะไรให้เป็นเหตุที่สหรัฐฯ จะโจมตีเพื่อล้างอาย และหาทางเอาคืน โดยใช้กำลังเปิดฉากรบรอบใหม่ ดังนั้น จึงถูกสงสัยว่าจะเป็นการปล่อยข่าวเพื่อตีปลาหน้าไซ ไม่ให้ตอลิบานฮึกเหิมกับชัยชนะจนเกินไป
ผู้นำทำเนียบขาวเป็นผู้เสียหายด้านความน่าเชื่อถือ อดีตนายกฯ อังกฤษ โทนี แบลร์ไม่อ้อมค้อมที่จะบอกว่าการจัดการโดยผู้นำสหรัฐฯ เรื่องปิดเกมในอัฟกานิสถานทำแบบไร้เดียงสา ไม่เป็นงาน สร้างความหายนะต่อสถานการณ์ในอัฟกานิสถาน
จากนี้ไปประชาคมโลกจะเฝ้าดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นภายใต้การปกครองของตอลิบานรอบ 2 หลังจากช่วงแรกในปี 1996-2001 ซึ่งทหารสหรัฐฯ ได้บุกเข้าขับไล่ตอลิบานให้ตกจากอำนาจ จะมีความเข้มงวดในด้านการบังคับใช้กฎหมายอิสลามหนักกว่าเดิมหรือไม่
และต้องดูอีกว่าคำประกาศนิรโทษกรรมทุกฝ่าย ไม่ล้างแค้นหรือจองเวรใครนั้นจะน่าเชื่อถือหรือไม่ เพราะการไล่ล่านักหนังสือพิมพ์ คนทำสื่อและคนบางประเภททำให้คนเริ่มไม่ให้ความไว้วางใจ แม้ตอลิบานจะประกาศว่าต้องการเป็นมิตรกับประเทศต่างๆ
ต้องดูด้วยว่ากองกำลังต่อต้านตอลิบานจะรวมตัวกันสู้รบได้หรือไม่