เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องแวะๆ ไปดูดินแดนแห่งขุนเขา เทือกเขา ที่แม้แต่อภิมหานักยุทธศาสตร์สงครามชาวกรีก อย่าง “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช”เคยหวิดจะพลาดท่า เสียที ถึงขั้นหวิดเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง มาแล้ว ในการกรีธาทัพเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ เมื่อหลายต่อหลายพันปีที่แล้ว แม้หลังจากนั้นต่อมาจนตราบเท่าทุกวันนี้...ไม่ว่ากองทัพใดๆ ก็ตามที ไล่มาตั้งแต่อังกฤษ โซเวียตรัสเซีย จนกระทั่งมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกา ฯลฯ ที่เพียรพยายามสู้รบอยู่ในสมรภูมิแห่งนี้มากว่า 20 ปี สุดท้าย...เลี่ยงไม่พ้นต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจ นั่นก็คือ...ดินแดน “อัฟกานิสถาน”ที่กำลังมีข่าวคราวว่าเมืองหลวงอย่างกรุง “คาบูล” ใกล้จะแตกแหล่ มิแตกแหล่ ด้วยน้ำมือของกองทัพที่มีสภาพแทบไม่ต่างอะไรไปจาก “กองโจร” อย่างพวก “ตอลิบาน” (Taliban) นั่นเอง...
คืองานนี้...ต้องเรียกว่า โดยสีสันบรรยากาศน่าจะพอๆ กับครั้ง “ไซ่ง่อนแตก”หรือครั้งศึกสงครามเวียดนามระหว่างกองทัพสหรัฐฯ กับพวกเวียดนามเหนือนั่นแหละ คือเริ่มออกอาการเอะอะมะเทิ่ง ชุลมุนวุ่นวาย สับสนและระส่ำระสาย ทันทีที่กองทัพ“ตอลิบาน” บุกเข้ายึดเมืองต่างๆ ทั่วประเทศได้แทบเกลี้ยง รวมทั้งเมืองอันดับ 2 อย่างเมือง “Kandahar” ได้เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ (12 ส.ค.) ที่ผ่านมา ไปจนเมือง “Ghazni”ที่อยู่ห่างไปจากกรุง “คาบูล”เมืองหลวงของอัฟกานิสถาน เพียงแค่ 95 ไมล์ หรือ 150 กิโลเมตรเท่านั้นเอง ส่งผลให้สถานทูตสหรัฐฯ ในดินแดนแห่งนี้ ต้องออกคำสั่งเร่งเร้าให้ผู้คนพลเมืองชาวอเมริกันรีบอพยพจากอัฟกานิสถานโดยเร็วที่สุด ทหารที่เหลืออยู่ประมาณ 3,000 คน ถูกส่งมาล้อมสถานทูต ส่งมาช่วยลำเลียงผู้คนให้เผ่นหนีออกจากประเทศนี้ให้ไวๆ ไม่ต่างพันธมิตรที่ร่วมเคียงบ่า-เคียงไหล่กับอเมริกา ในการบุกประเทศนี้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว อย่างอังกฤษ ต้องส่งทหาร 600 คนจากประเทศอังกฤษเข้ามาช่วยอพยพผู้คนในสถานทูต ชนิดจ้าละหวั่นกันไปหมด เช่นเดียวกับพันธมิตรอย่างแคนาดา ที่เคยมีทหารหมุนเวียนอยู่ในประเทศนี้ถึง 40,000 คน ในช่วงระยะ 13 ปีที่ผ่านมาในนามของ “นาโต” มาถึงทุกวันนี้...ภารกิจเร่งด่วนของหน่วยปฏิบัติการพิเศษแคนาดา ก็คงไม่พ้นไปจาก “หนี...กับ...หนี” ให้ทันท่วงทีและทันเวลา ก่อนที่พวก “ตอลิบาน” จะกรีธาทัพเข้าสู่เมืองหลวง ภายใน 90 วัน ดังที่หน่วยข่าวกรองอเมริกันได้เคยคาดๆ เอาไว้หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่...ฯลฯ ฯลฯ...
สรุปเอาเป็นว่า...กองทัพรัฐบาลภายใต้ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน “นายAshraf Ghani” ที่ว่ากันว่ามีอยู่ประมาณ 300,000 คน ได้รับการฝึกปรือ ติดอาวุธ ให้อาวุธ โดยกองทัพอเมริกันและนาโตมาโดยตลอด 20 ปี ไปๆ-มาๆ...คงน่าจะ “เอาไม่อยู่” โอกาสที่จะต้องพ่ายแพ้ต่อพวก “ตอลิบาน”หรือต้องตกเป็น “เบี้ยล่าง”ในการเจรจาที่จะมีขึ้น หรือไม่มีก็แล้วแต่ น่าจะเป็นไปได้สูงเอามากๆ หลังจากที่รัฐบาลอเมริกันได้ตัดสินใจ “สะบัดทวารหนี”ไม่เอาแล้ว...ไม่ไหวแล้ว!!! สำหรับการทำศึกสงครามอันยืดเยื้อยาวนาน และทำท่าว่าจะไม่มีวันจบ ภายในดินแดนแห่งนี้มาถึง 2 ทศวรรษ เสียเงิน-เสียทอง ไปไม่น้อยกว่านับ “ล้านล้านดอลลาร์”การตัดสินใจ “ถอนทหารอเมริกัน” ทั้งหมด ออกจากอัฟกานิสถานภายในสิ้นปีนี้ ก็จึงนำมาซึ่งฉากสถานการณ์ในปัจจุบันนั่นเอง คือการหนียะย่าย พ่ายจะแจของกองทัพอเมริกันและพันธมิตรตะวันตก แบบชนิดหมดรูป หมดสภาพ...
แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้ฉากสถานการณ์เช่นนี้ ใช่ว่าบรรดา “มหาอำนาจคู่แข่ง”ของอเมริกาอย่างคุณพี่จีนหรือคุณน้ารัสเซียจะเกิดอาการ “กระดี้กระด้า”ต่อการหมดน้ำอิ๊ว น้ำยา ของกองทัพอเมริกาแต่อย่างใด เพราะขึ้นชื่อว่า “ตอลิบาน” ซะอย่างแล้ว!!! ไม่ว่าจะโดยเป็นความมุสลิมแบบสุดลิ่มทิ่มกระดาน แบบเข้มข้น ตึงเครียด หรือแบบแทบไม่สนใจว่าโลกทั้งโลกจะคิดกับตัวเองแบบไหน อย่างไร พร้อมที่จะระเบิดรูปปั้น เทวรูป พุทธรูป อันเป็นที่สักการบูชา หรือเป็นวัตถุหลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้พังพินาศไปต่อหน้าต่อตา เพื่อแสดงออกถึงความเป็น “มุสลิมสายเคร่ง” ให้เห็นกันจะจะไปทั่วทั้งโลก เมื่อครั้งอดีตที่ผ่านมาไม่กี่สิบปีมานี้เอง ย่อมไม่ใช่เรื่องน่าสบายอก สบายใจ สักเท่าไหร่ สำหรับการดำเนินสัมพันธภาพกับผู้ที่กำลังผงาดขึ้นมามีอำนาจในดินแดนอัฟกานิสถานอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้...
สำหรับคุณพี่จีนแล้ว...การดำเนินสัมพันธภาพกับอัฟกานิสถานในอนาคต ก็อาจไม่ต่างไปจาก “พม่า”หรือ “เมียนมา”นั่นเอง คือเมื่อต้องเจอกับ “เผด็จการ” ประเภทไม่สนใจโลก ไม่สนใจว่าผู้คนรอบข้างจะคิดกับตัวเองแบบไหน และอย่างไร การวางระยะห่างระยะเคียง เอาไว้ให้เหมาะสม สอดคล้องกับฉากสถานการณ์ที่ย่อมต้องหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง ไปเป็นขั้น เป็นตอน ย่อมดีกว่าการบุกเข้าไปและแพ้แล้ว-แพ้อีก แบบที่ทั้งโซเวียตรัสเซียและอเมริกา ได้แสดงให้เห็นเป็นตัวอย่างมาแล้วโดยชัดเจน ด้วยเหตุนี้...ในขณะที่ผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”โทรศัพท์ไปแสดงความเห็นอก เห็นใจ และแสดงความยอมรับต่อรัฐบาลของประธานาธิบดี “Ashraf Ghani”อย่างเป็นทางการ มุขมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศจีน อย่าง “นายหวัง อี้”ก็อดไม่ได้ที่จะต้องให้การต้อนรับ “อย่างเป็นทางการ”ต่อผู้นำระดับสูงของ “ตอลิบาน” อย่าง “Mullah Abdul Ghani Baradar” ที่เดินทางมาพบปะเจรจากับผู้นำจีน ที่เมืองเทียนจิน และพร้อมที่จะเอ่ยปากยอมรับอย่างเป็นทางการอีกด้วย ถึงบทบาท อำนาจ ของ “ตอลิบาน” ต่อฉากสถานการณ์ความเป็นไปในอัฟกานิสถาน อันเป็นสิ่งที่ต้องให้ “ประชาชน”ในดินแดนแห่งนี้เท่านั้นเป็นผู้วัดตัดสิน ไม่ใช่โดยความปรารถนาความต้องการจาก “ภายนอก” โดยเด็ดขาด...
และอย่างน้อย...การป่าวประกาศชนิดถือเป็นคำมั่น-สัญญาโดยโฆษก “ตาลิบาน” อย่าง “นายMohammed Naseem”ว่า อัฟกานิสถานนับจากนี้ต่อไป จะไม่สนับสนุนให้ใครมาใช้ดินแดนตัวเองไปรบกวนรังควานเพื่อนบ้าน ก็อาจพอมีส่วนช่วยให้บรรดากลุ่มกบฏแยกดินแดนอุยกูร์ออกจากจีน อย่างกลุ่ม “ETIM” (East Turkestan Islamic Movement) ที่ส้องสุมกำลังเอาไว้ในอัฟกานิสถาน น่าจะพับเพียบเรียบร้อยลงไปได้มั่ง ไม่ต่างไปจากพวกมุสลิมหัวรุนแรงที่คิดจะแบ่งแยกดินแดนรัสเซียด้วยเช่นกัน ส่วนในแง่ของการคิดจะเข้าไปใช้ประโยชน์ เข้าไปมีบทบาท “แทนที่อเมริกัน”ที่ต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจไปแล้วนั้น ดูเหมือนว่า...ฝ่ายจีนเขาคงต้องคิดหน้า-คิดหลังอยู่พอสมควรทีเดียว!!!
ดูง่ายๆ จาก “ตัวเลขการลงทุน”ของบรรดาบริษัทชาวจีนในดินแดนแห่งนี้ แม้จะมีการยกระดับความสำคัญของดินแดนอัฟกานิสถานเทียบเคียงกับปากีสถานตามอภิมหาโครงการ “Belt & Road” เอาไว้ค่อนข้างจะชัดเจนก็แล้วแต่ แต่ตลอดช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา การลงทุนของนักลงทุนชาวจีนในอัฟกานิสถาน มีอยู่เพียงแค่ 2.4 ล้านดอลลาร์เท่านั้นเอง เช่นลงทุนด้านพลังงานที่ “Amu Darya” หรือลงทุนในกิจการเหมืองทองแดง “Aynak Copper Mine” แต่ลดน้อยถอยลงไปกว่าช่วงปีที่แล้วเกือบครึ่งต่อครึ่ง เมื่อเทียบการลงทุนประมาณ 4.4 ล้านดอลลาร์เมื่อปีที่ผ่านมา และแทบเทียบไม่ได้เอาเลยกับการลงทุนในปากีสถาน ที่ปาเข้าไปถึง 110 ล้านดอลลาร์ หรือเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนในปากีสถานเท่านั้นเอง ด้วยเหตุเพราะ “ความไม่แน่นอน” ของทิศทางการเมือง ทิศทางความเป็นไปในอัฟกานิสถานนั่นแหละเป็นหลักใหญ่ คือขณะระหว่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายหวัง อี้” กำลังปูพรมแดง ต้อนรับการเดินทางมาเยือนของผู้แทน “ตอลิบาน” ที่เมืองเทียนจินอยู่นั่นเอง รถบรรทุกวิศวกรชาวจีนในอัฟกานิสถานก็ยังถูกพวก “ตอลิบาน”ยิงใส่ชนิดหูดับ-ตับไหม้ ไม่ต่างไปจากการระเบิดโรงแรม “Quetta”ในอัฟกานิสถาน ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นที่พำนักของทูตจีนแท้ๆ หรือการระเบิดรถโดยสารใน “Kohistan” ที่เล่นเอาวิศวกรชาวจีนเด็ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปถึง 9 รายด้วยกัน...ฯลฯ ฯลฯ...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...มันคงไม่ถึงกับง่ายดายกันสักเท่าไหร่ ในการเข้าไปแทนที่บทบาทอเมริกันในอัฟกานิสถาน ไม่ว่าสำหรับประเทศคู่แข่งอย่างจีนหรือรัสเซียก็ตาม การหันมาสร้าง “จุดสมดุล”ในการคบหาสมาคมฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเผด็จการ หรือประชาธิปไตยในพม่า ไปจนแม้แต่พวก “สายกลาง”หรือ “สายรุนแรง”ในอัฟกานิสถานก็ตามที โดยปล่อยให้เป็นเรื่องของ “ประชาชน” ในประเทศนั้นๆ ต้องวัดตัดสินกันเอาเอง หรือโดยไม่คิด “แทรกแซงกิจการภายใน”ของกันและกันนั่นแหละ!!! ที่อาจต้องยึดถือเป็น “มาตรฐานสากล”อันมิควรหลีกเลี่ยงและปฏิเสธโดยเด็ดขาด...