ต้องเรียกว่า... “นกกระจอกยังไม่ทันกินน้ำ” หรือ “ตดยังไม่ทันหายเหม็น” อะไรทำนองนั้น กรุงคาบูลเมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถาน ก็แตกดังโพละ!!! ชนิดไม่ต้องรอถึง 90 วัน ตามการประเมินของหน่วยข่าวกรองอเมริกันเอาเลยแม้แต่น้อย เพราะเพียงแค่ไม่ถึง 9 วัน 10 วัน ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของกองกำลัง “ตอลิบาน” ที่ยาตราทัพเข้าล้อมกรอบตัวเมืองเอาไว้ทุกๆ ด้าน โดยทันทีที่ประธานาธิบดีอัฟกานิสถาน “นายAshraf Ghani” ตัดสินใจเผ่นหนีไปตั้งหลัก หรือไปแล้ว-ไปเลย อยู่ ณ ประเทศทาจิกิสถาน บรรดาทหาร “ตอลิบาน” ก็ได้เวลาเข้าไปนั่งเอ้เต้อยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีแบบชนิดแทบไม่เสียกระสุนแม้แต่นัดเดียว...
ใครที่ได้ดูข่าวประเภท “CNN” หรือ “BBC” ฯลฯ คงพอได้เห็นๆ กันมั่งแล้ว...ถึงความตกตะลึง ตาค้าง ความสับสน ระส่ำระสาย ไม่ว่าของปุถุชนคนธรรมดา ไปจนบรรดาผู้ที่มีอำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบในระดับต่างๆ ทั้งในอัฟกานิสถานและนอกอัฟกานิสถาน สำหรับภายในประเทศนั้น นับตั้งแต่การยึดเมือง “Kandahar” และเมือง “Herat” เมืองอันดับ 2 อันดับ 3 ของอัฟกานิสถาน บรรดาประชาชนพลเมืองต่างออกอาการ “มึนซ์ซ์ซ์งงง์ง์ง์” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ว่าอะไรมันจะ “ง่ายดาย” ไปได้ถึงปานนั้น พูดง่ายๆ ว่า...บรรดาทหารกองทัพอัฟกันที่มีจำนวนกว่า 300,000 นาย ได้รับการฝึกปรือมาโดยกองทัพอเมริกันและนาโตมาตลอด 20 ปี ดันไม่คิดจะสู้รบปรบมือเอาดื้อๆ!!! ยอมตกลงเซ็นสัญญายกอาวุธยุทโธปกรณ์และยอมศิโรราบให้กับพวก “ตอลิบาน” จนทำให้การบุกยึดเมืองหลวงอย่างกรุงคาบูล เป็นไปในแบบไม่ต้องรอถึง 90 วัน แค่ไม่ถึง 9 วัน ก็เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียน “ตอลิบาน” เอาง่ายๆ...
อาการ “พล่าน” ของผู้คนพลเมืองในช่วงแรกๆ...จึงปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในแต่ละเมือง ความพยายามเผ่นหนีออกจากเมืองต่างๆ ส่งผลให้รถราติดขัด ชนิดเป็นอัมพาตไปเป็นสายๆ แต่ดูเหมือนว่า...มาคราวนี้ บรรดาพวก “ตอลิบาน” ออกจะมาใน “มาดใหม่” อยู่พอสมควร คือค่อนข้างลดอาการเหี้ยมโหดอำมหิตแบบเดิมๆ ลงไปมิใช่น้อย แต่จะลดแบบเป็นการถาวร หรือชั่วคราว ก็ยังยากที่จะสรุปได้ เพราะหลังจากการเฉลิมฉลองชัยชนะในเมือง “Kandahar” และเมือง “Herat” แค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ก็เริ่มมีการค้นบ้าน ค้นช่อง บรรดาผู้ที่ต้องสงสัยในเมืองแต่ละเมืองกันไปเป็นรายๆ และนั่นเองที่ทำให้การเข้ายึดกรุงคาบูลโดยสันติ ของพวก “ตอลิบาน” ยังก่อให้เกิดคำถาม ก่อให้เกิด “ความไม่แน่นอน” ในหมู่บรรดาผู้สังเกตการณ์ไม่ว่าในประเทศหรือนอกประเทศก็แล้วแต่...
สำหรับอังกฤษที่ “ร่วมบุก” และ “ร่วมเผ่น” ออกจากอัฟกานิสถาน เช่นเดียวกับคุณพ่ออเมริกา นายกรัฐมนตรี “นายบอริส จอห์นสัน” เห็นว่า...ถึงกับตัดสินใจยกเลิกการเที่ยววันหยุดสุดสัปดาห์ หันมาเรียกประชุม “คณะกรรมการในสถานการณ์ฉุกเฉิน” หรือ “COBR” (The Civil Contingencies Committee) เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (15 ส.ค.) ที่ผ่านมา เพื่อพูดคุยหารือว่าเอาไงกันต่อ เอาไงกันดี อะไรประมาณนั้น ส่วน “เจ้าภาพ” ในการบุกอัฟกานิสถานเมื่อ 20 ที่แล้ว อย่างคุณพ่ออเมริกางานนี้...ต้องเรียกว่าไม่ว่าการตัดสินใจ “สะบัดตูด” ออกจากดินแดนแห่งนี้จะถูกหรือผิด เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร หรือไม่ เพียงใดก็ตาม แต่ก็เล่นเอารัฐบาลใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ” น่าจะทรุดโทรมหมองคล้ำในสายตาอเมริกันชนกันไปมิใช่น้อย ถึงขั้นเกิดการนำเอาการอพยพผู้คนพลเมืองอเมริกันออกจากสถานทูตในกรุงคาบูล ไปเปรียบเทียบกับการหนียะย่าย พ่ายจะแจของกองทัพสหรัฐฯ ณ กรุงไซ่ง่อน ช่วงสงครามเวียดนาม ที่ถือเป็น “บาดแผล” ลึกฉกรรจ์ของรัฐบาลอเมริกันเอาเลยก็ว่าได้...
ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวของอดีตวุฒิสมาชิกที่ถือเป็น “ฮีโร่” ของชาวอเมริกัน อย่าง “นายJohn McCain” ผู้วายชนม์ไปเมื่อไม่นานมานี้ ถึงกับต้องมา “ทวีต” ด่ารัฐบาลแทนพ่อ ไม่ต่างไปจากอดีตผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ได้จังหวะโหนกระแส ด่ากราด “ผู้เฒ่าโจ” ว่าไม่ได้คิดทำตาม “แผนทรัมป์” ที่ได้เคยวางๆ เอาไว้ให้แล้ว คือไม่ได้คิดจะ “หนีแบบมีเชิง” อะไรทำนองนั้น ส่วนสมาชิกสภาผู้แทนฯ บางราย เช่น ส.ส. “Michael Waltz” ถึงกับออกมาคาดการณ์เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่าโอกาสที่จะได้เห็นอัฟกานิสถาน กลับไปสู่การก่อกำเนิดกลุ่มผู้ก่อการร้าย ประเภท “ISIS 3.0” หรือ “Al-Qaeda 3.0” น่าจะมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ พูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ ไปจนถึงประธานาธิบดีอเมริกัน จะออกมา “แก้ตัว” กันในแบบไหน อย่างไร ก็แล้วแต่ แต่การตัดสินใจ “เผ่น” ออกจากอัฟกานิสถานของกองทัพอเมริกันคราวนี้ ย่อมก่อให้เกิดความเสื่อมโทรม ทรุดโทรม ต่อความพยายามกลับไปสู่ “ความยิ่งใหญ่” ของอเมริกา ไม่น้อยทีเดียว...
อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่ต้องให้ความสนใจยิ่งไปกว่านั้น ก็คือนับจากนี้ต่อไป “โฉมหน้าของอัฟกานิสถาน” ภายใต้เงื้อมมือของพวก “ตอลิบาน” จะเป็นไปในรูปไหน อย่างไร อันถือเป็น “คำถาม” ที่ยังแทบไม่มีใครสามารถให้ “คำตอบ” ได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน แม้ว่า “ตอลิบานในมาดใหม่” จะออกอาการสุภาพเรียบร้อยไปกว่าเดิม ลดอาการเหี้ยมโหดอำมหิตลงไปมิใช่น้อย ถึงกับป่าวประกาศไว้ล่วงหน้าว่าพร้อมส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของผู้คนพลเมือง โดยเฉพาะ “สตรี” ตามแบบฉบับของอิสลามพร้อมที่จะให้สถานทูตแต่ละแห่งปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้ตามปกติ ไม่ต้องเสียเวลาเผ่นหนี หรือต้องอพยพใครต่อใครออกจากดินแดนแห่งนี้ ฯลฯ แต่ก็นั่นแหละ...ภายใต้แนวทางอิสลามที่ค่อนข้างเคร่งครัดอย่างเป็นพิเศษ ตามรากฐานความเป็นมาของพวก “ตอลิบาน” ก็ยังก่อให้เกิด “ความไม่แน่นอน” หรือ “ความไม่แน่ใจ” ต่อทั้งภายใน-ภายนอก อย่างมิอาจปฏิเสธ...
โดยว่ากันว่า...ผู้ที่สามารถให้ “คำตอบ” ในเรื่องนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ น่าจะหนีไม่พ้นไปจากพวก “ตอลิบาน” ประมาณ 6 รายด้วยกัน นั่นก็คือรายแรก หนีไม่พ้นไปจากผู้นำทางด้านจิตวิญญาณและด้านการทหารควบคู่ไปด้วย หรือผู้มีนามกรว่า “Haibatullah Akhundzada” ที่ถูกเรียกขานกันในหมู่ชาวตอลิบานว่า “Emir-al Mominee” หรือ “Commander of the Faithful” หรือ “ผู้บัญชาการแห่งศรัทธา” อะไรทำนองนั้น “มุสลิมสายเคร่ง” ชาวปัชตุนแห่งเผ่า “Noorzai” ที่ผงาดขึ้นเป็นผู้นำสูงสุด แทนที่ “Mullah Mohammad Omar” นักรบตาเดียว ที่วายชนม์ไปเมื่อเกือบ 8 ปีที่แล้ว แต่ลูกชายเพิ่งมาเปิดเผยให้ทราบเมื่อช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง อะไรจะเหี้ยม-ไม่เหี้ยม โหด-ไม่โหด อำมหิต-ไม่อำมหิต ไปถึงขั้นไหน ก็น่าจะขึ้นอยู่กับ “ผู้บัญชาการแห่งศรัทธา” รายนี้ไม่มากก็น้อย...
ส่วนรายที่สอง...ก็คือ “Mullah Mohammad Yaqoob” ลูกชายของนักรบตาเดียว “Mullah Omar” ที่ขึ้นมาคุมเครือข่ายนักรบแทนพ่อ แม้มีอายุเพียงแค่ 30 ปีเท่านั้นเอง สำหรับรายสาม...ชื่อว่า “Sirajuddin Haqqani” ที่อยู่ในช่วงกำลังห้าว หรืออายุประมาณ 40-50 ปี นอกจากเป็นผู้ควบคุมเครือข่ายนักรบตอลิบานทั้งในประเทศและนอกประเทศแล้ว ยังได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านปฏิบัติการ “ระเบิดพลีชีพ” อีกด้วยต่างหาก ไม่ว่าจะเป็นระเบิดโรงแรมหรูในกรุงคาบูล หรือระเบิดสถานทูตอินเดียในอดีต ว่ากันว่า...บุคคลผู้นี้น่าจะมีส่วนรับรู้ หรือรู้เห็นเป็นใจไปด้วยกันทั้งสิ้น ส่วนรายที่สี่...อาจหนักไปทาง “การเมือง” อยู่ตามสมควร นั่นคือ “Mullah Abdul Gahni Baradar” ที่เพิ่งเดินทางมาจับมือถือแขนกับรัฐมนตรีต่างประเทศจีน “นายหวัง อี้” ที่เมืองเทียนจินเมื่อไม่นานมานี้ ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนเจรจาของตอลิบานในหลายต่อหลายเรื่อง และว่ากันว่า...เป็นผู้ที่อดีตผู้นำอย่าง “Mullah Omar” ให้ความไว้วางใจมิใช่น้อย ส่วนรายที่ห้าก็คือ “Sher Mohammad Abbas Stanikzai” อดีตรัฐมนตรีในยุคที่ตอลิบานเคยเป็นรัฐบาล และยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนเจรจาให้กับตอลิบานมาโดยตลอด ขณะที่รายหกได้แก่ “Abdul Hakim Haqqani” ที่นอกจากจะร่วมเป็นตัวแทนเจรจาของตอลิบานแล้ว ยังเป็นตุลาการด้านศาสนาที่ผู้นำจิตวิญญาณ อย่าง “Akhundzada” ไว้วางใจอย่างเป็นพิเศษ...
ก็เอาเป็นว่า...คงต้องพยายามทำความรู้จักกับบรรดาชาวตอลิบานเหล่านี้เอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละดี เพราะภายใต้การเป็น “มุสลิมสายเคร่ง” ที่ออกจะหนักไปทาง “ลัทธิวะฮาบี” ของบรรดานักรบอิสลามเหล่านี้ “ความไม่แน่นอน” หรืออะไรต่อมิอะไรย่อมเกิดขึ้นได้เสมอๆ ส่วนมันจะดี-ไม่ดี บวก-หรือลบ เหมาะ-ไม่เหมาะ ควร-ไม่ควร ฯลฯ นั่นคงเป็นเรื่องที่บรรดาชาวอัฟกานิสถานทั้งหลาย พึงต้องตัดสินใจกันเอาเองภายในอนาคตเบื้องหน้า...นั่นแล...